โครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park) บริเวณหัวมุมถนนสีลมตัดกับถนนพระราม 4 ตรงข้ามกับสวนลุมพินี ถือเป็นเป็นหมุดหมายใหม่ของกรุงเทพฯ ที่มาแทนที่เดิมของ”โรงแรมดุสิตธานี” ซึ่งได้ยุติบทบาทการให้บริการไปเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2562 ที่ผ่านมาและได้มีการรื้อถอนอาคารทั้งหมดเสร็จสิ้นเมื่อปี 2563 เพื่อปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่เป็นโปรเจ็กต์ Mixed use มูลค่าโครงการสูงลิบลิ่วถึง 46,000 ล้านบาท มีทั้งโรงแรม อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม และศูนย์การค้า ออกแบบด้วยแนวคิด “ที่นี่…กรุงเทพฯ (Here for Bangkok)”

อัพเดทความคืบหน้าของโครงการล่าสุด  นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงกับผู้ถือหุ้นในประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่ 29/2565 เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ส่วนงานใต้ดินได้ดำเนินการเกือบเสร็จสิ้นแล้ว ขณะที่งานก่อสร้างโรงแรมได้เริ่มการก่อสร้างเหนือพื้นดินแล้ว โดยจะพยายามจะเปิดตัวโรงแรมให้ได้ภายในสิ้นปี 2566 หรือต้นปี 2567

สำหรับอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าปลีก คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567 และส่วนเรสซิเด้นซ์ จะเปิดเป็นส่วนสุดท้าย คาดว่าทั้งโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 2568

แม้ผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เกิดความล่าช้าบางส่วน เช่น การปิดแคมป์คนงานตามนโยบายของภาครัฐ นอกจากนี้ยังพบอุปสรรคงานชั้นใต้ดิน ส่งผลให้งานก่อสร้างเกิดความล่าช้าไปประมาณ 6 เดือน แต่งานก่อสร้างโดยรวมยังคงคืบหน้าต่อเนื่่องเป็นไปตามแผนงานที่่วางไว้

โดยงานเสาเข็มเจาะและกำแพงกันดิน บริษัทซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ขณะนี้้อยู่ระหว่างก่อสร้างงานโครงสร้างใต้ดิน (substructure) โดยบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)

ส่วนงานก่อสร้างฐานรากและชั้้นใต้ดินจำนวน 4 ชั้้น และพื้้นที่ชั้้น 1 ของอาคารสำนักงาน และอาคารที่่พักอาศัย คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณไตรมาสที่่ 3 ของปี 2565 ส่วนพื้้นชั้น 1 ของอาคารศููนย์การค้า คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 3 ของปี2566

มูลค่าลงทุนโครงการขยับเพิ่ม 9,300 ล้านบาท
พื้นที่ใช้สอยขยายเพิ่มอีก 7 หมื่นตร.ม.
ปัจจุบันโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 23 ไร่ ได้ปรับมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นจากเดิม 36,700 ล้านบาทเพิ่มเป็น 46,000 ล้านบาท โดยในส่วนของกลุ่มดุสิตธานีได้เพิ่มเงินลงทุนจำนวน 4,335 ล้านบาท จากเงินลงทุนเดิม 12,915 ล้านบาท เพิ่มเป็น 17,250 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาโครงสร้างและพื้นที่โดยรวมของโรงแรม อาคารที่พักอาศัย อาคารสำนักงานและศูนย์การค้า ส่งผลให้พื้นที่ใช้สอยโดยรวมของโครงการนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 3 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 70,000 ตารางเมตร

นอกจากจากนี้ยังได้มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์และพื้นที่ใช้สอยภายในโครงการเพิ่มขึ้น เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ในย่าน Super Core CBD ซึ่งเป็นจุดตัดของการจราจรทั้งลอยฟ้า บนดิน และใต้ดินที่เชื่อมโยงเมืองกรุงเทพฯทั้งย่านเก่าที่ยังคงไว้ด้านวัฒนธรรม ย่านใหม่ที่มีความทันสมัย ย่านการค้า และย่านธุรกิจการเงินเข้าด้วยกัน

เริ่มต้นด้วย “โรงแรมดุสิตธานี กรุุงเทพฯ” ซึ่งจะเปิดให้บริการก่อนเป็นโครงการแรกในช่วงต้นปี 2567 โดยได้มีการปรับพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นจาก 42,000 ตารางเมตรเป็น 49,500 ตารางเมตร โดยเพิ่มจำนวนชั้นจาก 35 ชั้นเป็น 39 ชั้น แต่จำนวนห้องพักจาก 230 ห้องลดเหลือ 209 ห้อง พร้อมกับปรับรูปแบบโครงการจาก Double Corridor เป็น Single-Loaded Corridor เพื่อให้ผู้เช่าสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของสวนลุมพินีได้ และปรับราคาห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 6,600 บาท ต่อห้องต่อคืนเป็น 9,000 กว่าบาทต่อห้องต่อคืน

การออกแบบห้องพัก เน้นขนาดห้องที่ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้เข้าพัก และทุกห้องสามารถรับวิวสวนลุมพินีได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังคงเอกลักษณ์ที่เป็นความทรงจำของ “ดุสิตธานี”เดิมไว้ ทั้งล็อบบี้ที่มีน้ำตก ห้องจัดเลี้ยงหรือห้องประชุมมีหลากหลายขนาดไว้รองรับความต้องการ

โดยเฉพาะ “ห้องนภาลัยบอลรูม” ที่มีขนาดใหญ่และมองเห็นทัศนียภาพของสวนลุมพินีโดยไม่มีการบดบังวิว อีกทั้งยังเชื่อมต่อเข้ากับสวนหย่อมของโรงแรมและน้ำตก นอกจากนี้ทางกลุ่มดุสิตธานียังได้นำ “ห้องอาหารเทียร่า” ที่เคยตั้งอยู่ชั้นบนสุดและยอดเสาสีทองที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงแรมดุสิตธานี กลับมาให้ลูกค้าได้สัมผัสในรูปแบบ “รูฟท็อบบาร์” ใหม่อีกครั้ง

คอนโดฯ 2 แบรนด์หรูราคาเฉลี่ย 3.4 แสนต่อตร.ม.
ส่วนโครงการที่พักอาศัย เดิมวางรูปแบบของโครงการเป็น Double Corridor ปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยนโครงการแบ่งเป็น 2 แบรนด์ คือ ดุสิต พาร์คไซด์ (Dusit Parkside) เป็น Double-Loaded Corridor และดุุสิต เรสซิเดนเซส (Dusit Residences)  เป็นแบบ Single-Loaded Corridor ซึ่งจะอยู่ในช้ันที่สูงของโครงการ

นอกจากนี้ยังปรับจำนวนชั้นของอาคารเพิ่มขึ้นเป็น 69 ชั้น ทำให้จำนวนห้องชุดเพิ่มขึ้นจาก 301 ยูนิตเป็น 406 ยูนิต ส่วนพื้นที่ใช้สอยของโครงการเพิ่มขึ้นจาก 82,000 ตารางเมตรเป็น 91,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่ขายประมาณ 50,000 ตารางเมตร

ส่วนราคาขายห้องชุดปรับเพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ย 280,000 บาทต่อตารางเมตรเป็น 340,000 บาทต่อตารางเมตร ทำให้มูลค่าโครงการเพิ่มจาก 13,000ล้านบาทเป็น 17,000ล้านบาท

  • ดุุสิต พาร์คไซด์ จำนวน 246 ยููนิต ตั้งอยู่ระหว่างชั้้นที่่ 9-29 ขนาดพื้้นที่่ใช้สอย 55-115 ตารางเมตร
  • ดุุสิต เรสซิเดนเซส จำนวน 160 ยููนิต ตั้งอยู่ระหว่างชั้้นที่่ 30-69 ขนาดพื้นที่ใช้สอยกว้างตั้งแต่ 120-750 ตารางเมตร เสมือนอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่ตกแต่งด้วยเครื่่องเรือนสไตล์เอเชียร่วมสมัย แต่ยังแฝงความเป็นไทย

โดยห้องชุดของโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส และโครงการดุสิต พาร์คไซด์ ทุกยูนิตจะถูกออกแบบให้มีความโล่ง โปร่ง สบาย มองเห็นวิวสวนลุมพินีจากทุกมุม  เน้นฟังก์ชั่นการใช้สอย  มีสิ่งอำนวยความสะดวก และความเป็นส่วนตัวสูงสุดในทุกยูนิตด้วยไพรเวทลิฟต์ล็อบบี้สำหรับแบรนด์ดุสิต เรสซิเดนเซส และระเบียงเดี่ยวสำหรับแบรนด์ดุสิต พาร์คไซด์

จากข้อมูล ณ วันที่ 25 เมษายน 2565 โครงการดุสิต เรสซิเด้นซ์ มียอดขายแล้วประมาณ 40% ของพื้นที่ขายทั้งหมด โดยทางโครงการยังไม่ได้เปิดการขายอย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากสถานการณ์COVID-19 โดยทั้งสองโครงการนี้มีกำหนดสร้างเสร็จและทยอยส่งมอบห่องชุดให้กับลูกค้าได้ในช่วงกลางปี 2568

ขณะที่โครงการศูนย์การค้าและอาคารสำนักงาน ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มเซ็นทรัล พัฒนา คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ประมาณช่วงปี 2567 โดยอาคารสำนักงาน “เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส” ออกแบบเป็นอาคารสูง 43 ชั้น พื้นที่ใช้สอยมากถึง 90,000 ตารางเมตร

ส่วนศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค ได้มีการปรับเพิ่มพื้นที่ใช้สอยเพิ่มเป็น 80,000 ตารางเมตร พร้อมออกแบบเป็นอาคารสูง 8 ชั้นจากเดิม 7 ชั้น ที่จอดรถใต้ดิน 4 ชั้นและมีทางเดินเชื่อมต่อรถไฟฟ้าใต้ดินด้วย ส่วนพื้นที่ชั้นเหนือดินจะเป็นรูปแบบร่นระดับ โดยหลังคาของตัวโพเดียมกลางของศูนย์การค้า จะดำเนินการออกแบบเป็นสวนลอยฟ้าขนาด 7ไร่ พื้นที่กว่าหมื่นตารางเมตร ที่เชื่อมต่อระหว่างอาคารหลัก 3 อาคาร เพื่อให้สอดคล้องและต่อเนื่องจากพื้นที่สวนลุมพินีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

โดยออกแบบพื้นที่สวนลอยฟ้าให้คล้ายเนินเขาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โอบล้อมด้วยกลุ่มอาคารสูงทั้ง 3 อาคาร ทำให้บรรยากาศภายในสวนแห่งนี้มีความร่มรื่นจากต้นไม้ ทั้งไม้ใหญ่ยืนต้น ไม้ขนาดกลาง ไม้พุ่ม ไม้ประดับ โดยผสมผสานระหว่างไม้พุ่มเตี้ย เช่น เตย แว่นแก้ว เสน่ห์จันทร์แดง เดหลี ไม้ใบเขียวหนา เช่น บอนดำ พัดโบก ไม้ลำต้นสูง เช่น ลำพู ไม้แผง เช่น หญ้าถอดปล้อง รวมทั้งไม้น้ำอย่างอะเมซอล ลานไพลินหรือกก

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เชิงสันทนาการร่วมกัน ทั้งการออกกำลังกาย วิ่ง ขี่จักรยาน เดิน ลานกิจกรรม รวมถึงการจัดงานแสดงนิทรรศการ ดนตรี กีฬา และการพักผ่อนในพื้นที่ และชั้นน้ำตกที่ไล่ระดับความสูงเริ่มจากชั้น 3  ของอาคารศูนย์การค้าไล่ความสูงต่อเนื่องขึ้นไปถึงชั้น 6 และชั้น 7 รวมความสูงของพื้นที่ 20 เมตร

ทั้งนี้เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2568 โปรเจ็กต์นี้จะมีพื้นที่ครอบคลุมประมาณ 440,000 ตารางเมตร พร้อมกับการกลับมาของ “โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ” โฉมใหม่ที่จะมาเปิดให้บริการอีกครั้งรองรับทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมทั้งปลุกกระแสให้ย่านพระราม 4 และสีลมกลับมาคึกคึกอีกรอบ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*