อยู่เจริญ เอสเตทฯเชื่ออสังหาฯครึ่งปีหลัง 65 เริ่มฟื้นตัว รับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯส่งผลกระทบต่อการถือครองที่ดินมากกว่า 1,000 ไร่ เล็งนำที่ดินยังไม่ใช้ประโยชน์ทยอยปลูกพืชเกษตรกรรม ลดภาระการจ่ายภาษี แนะ “ชัชชาติ”ลดขั้นตอนการติดต่อหน่วยงานราชการปรับผังเมืองให้มีความชัดเจน เหมาะสม พร้อมประกาศพับแผนเปิดโครงการใหม่ครึ่งปีหลัง จากหลากปัจจัยลบ เดินหน้าขาย 3 โครงการเก่าต่อเนื่อง ล่าสุดจัดแคมเปญแรงโครงการ “บ้านอยู่เจริญ ทาวน์ อิน ทาวน์” ด้วยส่วนลด 5 ล้านบาทในราคาเริ่มต้นเพียง 33 ล้านบาท หรือซื้อบ้านแถมคอนโดฯหรู “อยู่เจริญ เรสซิเด้นท์ ทาวน์ อิน ทาวน์” มูลค่า 3.4 ล้านบาท หวังกระตุ้นดีมานด์
ดร.ชนฐนพค์ รุ่งโรจน์ธนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อยู่เจริญ เอสเตท จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 การลงทุนในธุรกิจอสังหาฯยังมีการชะลอตัว แต่หลังจากที่ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการต่างๆเพิ่มมากขึ้น คาดว่าในครึ่งปีหลังภาพรวมตลาดจะมีความคึกคักและฟื้นตัวดีขึ้น เพราะเมื่อมีการเปิดประเทศ ชาวต่างชาติก็จะทยอยเดินทางเข้ามามากขึ้น ก็จะทำให้เม็ดเงินสะพัดเข้ามาในระบบมากขึ้นเช่นกัน

ส่วนการที่วัสดุก่อสร้างมีการปรับราคาขึ้น ได้ส่งผลให้สินค้ามีการปรับราคาขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค โดยบริษัทเองก็พยายามลดต้นทุนในส่วนอื่น เพื่อลดภาระต้นทุนและขายสินค้าได้ในราคาเดิมให้กับผู้บริโภคสามารถซื้อในราคาที่จับต้องได้ ส่วนเรื่องปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็มีผลกระทบกับงานก่อสร้างโครงการด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้รับเหมาก่อสร้างก็ต้องบริหารจัดการให้ได้ โดยยอมรับว่าที่ผ่านมางานก่อสร้างโครงการก็ล่าช้าไปประมาณ 2-3 เดือน ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่บริษัทฯถือว่าโชคดีที่ยังได้รับการสนับสนุนด้านสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่างๆเป็นอย่างดี

สำหรับพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ที่จะเริ่มมีการจัดเก็บในปี 2565 นี้ ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯเช่นกัน เนื่องจากทางครอบครัวมีที่ดินสะสมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล มีมากถึง 10 แปลงๆละประมาณ 100 ไร่ขึ้นไป คิดเป็นมูลค่าทางการตลาดประมาณหลายหมื่นล้านบาท อาทิ สุขุมวิท,รัชดาภิเษก,ย่านถนนประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์),รามอินทราและพุทธมณฑล สาย2 เป็นต้น ดังนั้นหากที่ดินแปลงไหนมีศักยภาพ บริษัทฯก็จะทยอยนำมาพัฒนา และแปลงไหนที่ยังไม่พร้อมพัฒนา ก็จะนำไปพัฒนาเป็นแปลงเกษตร ปลูกพันธุ์พืชต่างๆ เพื่อรอการพัฒนาในระยะยาว

ส่วนการที่กรุงเทพมหานคร(กทม.) มีการปรับเปลี่ยนผู้ว่าฯคนใหม่ คือ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โดยในช่วงที่ผ่านมายังไม่สามารถวัดผลงานได้ ซึ่งต้องดูในระยะยาว และอยากให้ดร.ชัชชาติ ช่วยปรับลดขั้นตอนการติดต่อกับหน่วยงานราชการของกทม.ให้มีความรวดเร็วมากกว่าเดิม รวมไปถึงการวางผังเมืองกทม. ให้ชัดเจน และมีความเหมาะสมมากขึ้น โดยแบ่งเป็นโซนนิ่ง มีพื้นที่สีเขียวมากขึ้น

ดร.ชนฐนพค์ กล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2565 ว่า เดิมมีแผนจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว ระดับลักชัวรี สูง 2 ชั้นครึ่ง  ย่านรามอินทรา 57 อีก 1 โครงการ บนพื้นที่ประมาณ 1-2 ไร่ พัฒนาเพียง 3 ยูนิต ราคา 28 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 90 ล้านบาท แต่ด้วยปัจจัยลบต่างๆ ทั้งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน  สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่มีผลกระทบกับกำลังซื้อ จึงชะลอแผนการพัฒนาออกไปก่อน

ทั้งนี้รวมไปถึงที่ดินอีก 3 แปลงที่จะพัฒนาในปีนี้ ก็ชะลอแผนการพัฒนาออกไปเช่นกัน ได้แก่ ที่ดินย่านรามอินทรา กม.2 จำนวน 200 ไร่ มีแผนจะพัฒนาในรูปแบบของมิกซ์โปรดักส์,ที่ดินย่านพุทธมณฑล สาย 2 จำนวน 100 ไร่ และซอยสุขุมวิท 49 ติดคลองแสนแสบ ประมาณ 8 ไร่ ซึ่งทั้ง 3 นี้แปลงคงนำกลับมาพัฒนาได้อีกประมาณ 2 ปี

ดังนั้นในปี 2565 จึงเน้นการขายโครงการเดิมที่เปิดการขายเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา จำนวน 3 โครงการ ได้แก่
1.โครงการ“อยู่เจริญ เรสซิเด้นท์ ทาวน์ อิน ทาวน์” (U Charoen Residence Town In Town) ตั้งอยู่ย่านทาวน์อินทาวน์ ติดถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ซึ่งคือโครงการ “ตรรกะ”เดิม แล้วมาเปลี่ยนเป็นชื่อดังกล่าวข้างต้น  ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับ “บ้านอยู่เจริญ ทาวน์ อิน ทาวน์” ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ พัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียม Low Rise  สูง 7 ชั้น (24 เมตร)เรียบง่ายเป็นเอกลักษณ์ ด้วยสไตล์ Modern Japanese ขนาด 34.75-60 ตารางเมตร ราคา 3.4-5 ล้านบาท จำนวน 208 ยูนิต โดยได้เปิดพรีเซลไปเมื่อปลายปี 2561 ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60% แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายคอนโดฯค่อนข้างชะลอตัว ประกอบกับลูกค้าสัดส่วน 20-30% ไม่ผ่านการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน จึงมีการโอนกรรมสิทธิ์ได้น้อย ปัจจุบันมียอดโอนประมาณ 10%

2.โครงการ “บ้านอยู่เจริญ ทาวน์ อิน ทาวน์” (Baan U Charoen Town In Town) ตั้งอยู่บนถนนศรีวรา ย่านเอกมัย-รามอินทรา พื้นที่ 2 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบโฮมออฟฟิศ สูง 4.5 ชั้น ขนาด 41-66 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยกว่า 431 ตารางเมตร ราคา 38-48 ล้านบาท จำนวน 14 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท โดยทดลองเปิดการขาย เมื่อต้นปี 2564 ปัจจุบันมียอดจองประมาณ 2-3 ยูนิต ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาด จึงส่งผลกระทบต่อยอดขายพอสมควร เพราะจากมาตรการของภาครัฐที่สั่งประกาศปิดแคมป์คนงาน และไซต์งานก่อสร้าง ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดไป 1.5 เดือน ขณะเดียวกันก็มีลูกค้าบางรายจำเป็นต้องยุติยกเลิกสัญญา แต่บางรายบริษัทฯก็มีการริบเงินทำสัญญา ซึ่งจะมีการพิจารณาเป็นรายๆไป

ล่าสุดบริษัทฯได้นำโครงการมาจัดแคมเปญแรงต้อนรับการเปิดโครงการ (Pre-sale) ช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ด้วยส่วนลด 5 ล้านบาทในราคาเริ่มต้นเพียง 33 ล้านบาท หรือซื้อบ้านแถมคอนโดฯหรู “อยู่เจริญ เรสซิเด้นท์ ทาวน์ อิน ทาวน์” มูลค่า 3.4 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของกลุ่มเป้าหมาย

3.โครงการ“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” (Baan U Charoen Eastville) ตั้งอยู่ในซอยนาคนิวาส 6 ด้านหลัง Central Festival Eastville เพียง 5 นาที  พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝด 8 ยูนิต และทาวน์โฮม 20 ยูนิต รวมจำนวน 28 ยูนิต สัมผัสกลิ่นอายสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกสไตล์ Modern Palladian ขนาดที่ดินตั้งแต่ 38-50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 355-430 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 40-60 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 1,200-1,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายเพียงไม่ถึง 10% เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการรอให้บ้านตัวอย่างก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2565 นี้ก่อน หลังจากนั้นเชื่อว่ายอดขายจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

อนึ่ง “กลุ่มอยู่เจริญ” จดทะเบียนก่อตั้งเป็นบริษัทจำกัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เริ่มต้นพัฒนาพื้นที่ให้เช่าซื้อ หรือ “เซ้ง” และเป็นผู้บุกเบิกแนวความการเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ ระยะเวลา 30 ปี เป็นรายแรกให้แก่สังคมไทยและเป็นผู้พัฒนาอาคารที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ที่เรียกว่า “Town House” ที่มีที่จอดรถในตัวเป็นรายแรก และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในระหว่างปี 2520-2539 มีโครงการทั้งในเขตกทม.–ปริมณฑล อีกทั้งยังมีที่ดินหลากหลายแปลง รวมไปถึงมีการมอบที่ดินสำหรับจัดตั้งสำนักงานเขตลาดพร้าว,สำนักงานที่ดินเขตห้วยขวาง และมอบที่ดินที่เป็นสถานที่ตั้งที่ทำการสถานทูตจีนประจำประเทศไทย บริเวรถนนรัชดาภิเษกจนถึงปัจจุบัน และทายาทรุ่นที่ 2 ได้เล็งเห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์หรูหรามากขึ้น จึงสานต่อ และคิดค้นโครงการนำร่อง “บ้านพันนา” การอยู่อาศัยด้วยภูมิปัญญาในรูปแบบ Home Office สมัยใหม่ และ “ตรรกะ” Luxury Low Rise Condominuim สไตล์เรียบหรู และได้กลับมารีแบรนด์เป็น “อยู่เจริญ เอสเตทส”ตามความเรียกร้องของลูกค้ารุ่นเก่า

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*