“กฤช พรหมสุทธิ” คลื่นลูกใหม่อสังหาฯวัย 33ปีที่บังเอิญเข้ามาทำธุรกิจนี้เพราะครอบครัวทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาก่อน ตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่และรับช่วงต่อมายังรุ่นพ่อเป็นเวลารวมกว่า 60 ปี ประกอบกับครอบครัวซื้อที่ดินเก็บสะสมไว้หลายแปลง จึงขอโอกาสจากครอบครัวนำที่ดินมาพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ หลังจากเริ่มต้นอาชีพเป็น “ผู้สื่อข่าวสายการเมือง”ประมาณปีกว่า  

ประเดิมธุรกิจอสังหาฯครั้งแรกเมื่อปี 2560 ในนามบริษัทสุทธิ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด โดยนำที่ดินของครอบครัวประมาณ 3 ไร่ ในย่านอโศกมาพัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์เพื่อเช่าขนาดพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร และตามมาด้วยโครงการออฟฟิศให้เช่าเพิ่มอีก 3,500 ตารางเมตร ซึ่งทั้งสองโครงการประสบความสำเร็จมีผู้เช่าเต็มมาโดยตลอด

หลังจากมีรายได้ประจำจากค่าเช่าเข้ามาสม่ำเสมอ และธุรกิจเริ่มนิ่ง เพราะมีเพียงแค่การดูแลปรับปรุงพื้นที่ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อรักษาฐานกลุ่มลูกค้าผู้เช่าให้ต่อสัญญาเช่ากับโครงการต่อเนื่อง ทำให้ “กฤช”เริ่มท้าทายตัวเองอีกครั้งด้วยการพัฒนาโครงการอสังหาเพื่อขาย ในปี 2562 จึงได้จัดตั้งบริษัท เอสติม่า แอสเสท จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาฯเต็มตัว

กฤช พรหมสุทธิ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอสติม่า แอสเสท จำกัด บอกว่า Core Business สำคัญของบริษัทเอสติม่าฯมีอยู่ 3 เรื่องหลัง คือ Innovation บริษทไม่ต้องการพัฒนาสินค้าที่ขายได้ง่ายและขายได้แน่นอน รวมถึงการ copy and paste แต่จะเน้นการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและอัพเดทสินค้าตามเทรนด์ของตลาด โดยจะนำเอานวัตกรรมต่างๆมาใช้ในบ้านทั้งการดีไซน์และ Smart Tech ต่างๆ

Reliability การสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจให้กับลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อบ้านในแบรนด์ต่างๆของกลุ่มเอสติม่าฯ เริ่มตั้งแต่การควบคุมการก่อสร้างให้ได้มาตรฐานถูกต้องตามหลักวิศวกรรม และมีความคงทนถาวร รวมถึงการบริการหลังการขาย โดยรับประกันโครงสร้างบ้านนาน 5ปี

Responsibility การสร้างความรับผิดชอบต่อ Peple ให้มีความเท่าเทียมกันทั้งพนักงานของบริษัท ลูกค้าของบริษัท แรงงานของผู้รับเหมา รวมถึงชุมชนที่อยู่โดยรอบรั้วโครงการจะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในช้วงที่มีการก่อสร้างโครงการ, Profit หรือผลกำไร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกับลูกค้าในการขยายธุรกิจและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  และ Planet เน้นการดูแลสิ่งแวดล้อม

เดิมหน้าลุยธุรกิจอสังหาฯเต็มตัว

ปี 2563 กลุ่มเอสติม่าฯได้ซื้อที่ดินขนาด 182 ตารางวาในซอยพหลโยธิน 14 เพื่อวางแผนพัฒนาเป็นโครงการบ้านจัดสรรในเมือง เจาะกลุ่ม Niche Market ที่มีกำลังซื้อสูง เปิดตัวโปรเจ็กต์แรกด้วยบ้านเดี่ยว 3 ชั้นครึ่ง ภายใต้แบรนด์ “อาธาร์ พหลฯ-อารีย์” (ARTHA พหล-อารีย์) จำนวน 3 ยูนิต โดยบ้านแต่ละหลังสร้างบนที่ดินเริ่มต้น 56.3 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 570 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มที่ 44-62 ล้านบาท ตอนนี้มีบ้านสร้างเสร็จเหลือขายอยู่แค่ 1 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งเป็นบ้านตัวอย่างตกแต่งแบบFully-Furnished ราคาขาย 59.9 ล้านบาท คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะปิดการขายได้

จุดเด่นของโครงการอาธาร์ พหลฯ- อารีย์ คือ การออกแบบที่ผสมผสานระหว่างความเป็นย่านชุมชนเก่าและย่านอยู่อาศัยของผู้ดีเก่าในสมัยก่อนกับย่านที่เป็นแหล่งรวมของร้านอาหารและคาเฟ่ชื่อดังในยุคปัจจุบัน มาใช้ออกแบบบ้านในสไตล์  “Mid-Century Modern” ที่ให้ความอบอุ่นเรียบง่าย เหมาะทั้งเป็นที่อยู่อาศัยและเป็น Home Office ได้ในตัว คล้ายกับการนำเอาห้องเพนท์เฮ้าส์ของคอนโดมิเนียมมาวางซ้อนทับกันอยู่ในบ้านแต่ละชั้น ส่วนภายในตัวบ้านติดตั้งระบบประตูเปิด-ปิดหน้าบ้านแบบอัตโนมัติ พร้อมรีโมททุกหลัง รวมถึงมีสระว่ายน้ำและลิฟต์โดยสารทุกหลัง จอดรถได้ 4 คัน

นำแลนด์แบงก์ครอบครัวย่านวิภาวดีฯเปิดตัวบ้านแฝด 3ชั้นครึ่งดีไซน์เฉพาะตัว

หลังจากประสบความสำเร็จกับการเปิดตัวโครงการแรกไปล้ว ในปีนี้ “กฤช” ก็ได้เปิดตัวโครงการที่ 2 ไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ใช้ชื่อโครงการว่า “อาคิน วิภาวดี​” โดยนำแลนด์แบงก์ของครอบครัวที่ซื้อเก็บไว้ในย่านถนนวิภาวดีรังสิต ซอยวิภาวดี 84 เนื้อที่กว่า 5 ไร่มาพัฒนาเป็นบ้านแฝด 3 ชั้นครึ่ง จำนวน 32 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 420 ล้านบาท ขนาดที่ดิน 36.7-44.6 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอย 270 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 3 คัน  ราคาขายเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท

เปิดพรีเซลล์ 2เดือนแรกทำยอดขายไปแล้ว 10 ยูนิต โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมยหลักของโครงการนี้จะเป็นกลุ่มเจ้าของธุรกิจ, กลุ่ม Young Family พนักงานบริษัทระดับ Manager หรือผู้บริหารระดับกลางขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีกลุ่มพ่อแม่ซื้อบ้านไว้ให้ลูกๆอยู่อาศัย

โครงการอาคิน วิภาวดี ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “REALMS OF ENDLESS POSSIBILITIES : อาณาจักรแห่งความเป็นไปได้ไม่รู้จบ” ทั้งในด้านชีวิตการงานหรือชีวิตส่วนตัว ผ่านปัจจัย3 อย่าง คือ นวัตกรรม (Innovation), สภาพแวดล้อม (Environment) และสังคม (Co-Living) โดยภายในโครงการโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ“ป่ากลางหมู่บ้าน” ที่เต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิดมากกว่า 6,000 ต้น โดยมีทีม Designer ชั้นนำบริษัท Landscape 49 หรือ L49 มาเป็นผู้ออกแบบสวน

ฟังก์ชันภายในตัวบ้านเน้นดีไซน์เรียบง่าย โปร่ง โล่ง กว้าง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ด้วยห้อง Flexible Semi Outdoor Living Space หรือ Private Penthouse สำหรับห้อง Master Bedroom นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรม Smart Home ทั้งหลัง พร้อมด้วยระบบ AQC (Air Quality Control)

ปีหน้าลุยเปิดตัวโปรเจ็กต์ใหม่หลายโปรดักต์มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจอสังหาฯของกลุ่มเอสติม่าฯในอนาคต กฤชบอกว่า บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 2-3 โครงการ โดยในช่วง 2-3 ปีแรกนี้จะเน้นกลุ่มสินค้าบ้านแนวราบเป็นหลัก หลังจากนั้นจะขยับขยายฐานลูกค้าไปเจาะตลาดคอนโดฯโลว์ไรส์และไฮไรส์ รวมถึงสินค้ารูปแบบ Mixed use เพิ่มด้วย

โดยในปี 2566 วางแผนจะเปิดัวโครงการใหม่ 3 โครงการ โดยมีแลนด์แบงก์เดิมของครอบครัว 2 แปลง คือ ที่ดินย่านลำลูกกาเนื้อที่ 5 ไร่ วางแผนพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดราคา 7-15 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 350-400ล้านบาท และที่ดินย่านพหลโยธินจำนวน 12 ไร่ จะพัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์หรือคอนโดฯโลว์ไรส์ มูลค่าโครงการ 800-1,000 ล้านบาท โดยทั้งสองโครงการนี้จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส3 และอีกโครงการอยู่ที่ภูเก็ต ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดิน วางแผนพัฒนาเป็นพูลวิลล่าราคาขาย 15-20 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 120 ล้านบาท จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4

ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองบวกของ”กฤช พรหมสุทธิ” ที่มองว่าทุกวิกฤติมีโอกาสเสมอ และทุกความท้าทายมีโอกาสในการพัฒนาให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้รวมถึงความเป็นบริษัทอสังหาฯขนาดเล็ก ที่มีความเชื่อและแนวคิดที่แตกต่าง พร้อมสรรหาและพัฒนาโปรดักส์ใหม่ๆให้กับกลุ่มลูกค้าอยู่เสมอ จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้ากลุ่ม Niche Market

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*