แอล.พี.เอ็น.รุกเปิดตัว 4 โครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูงส่งท้ายปี 2565 ภายใต้แบรนด์ 168 มูลค่า 5,400 ล้านบาท ดันยอดขายตามเป้าหมายปีนี้ 13,000 ล้านบาท หลัง 9 เดือนแรกกวาดยอดขายได้แล้ว 6,800 ล้านบาท

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือLPN  เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 2 โครงการ มูลค่า 2,400 ล้านบาท

สำหรับคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการวิลล์ 168 บางหว้า มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Make Your Living in Colors” ตั้งอยู่บนถนนเพชรเกษม ใกล้สถานีอินเตอร์เชนจ์ BTS-MRT บางหว้าประมาณ 800 เมตร ราคาเริ่มต้น 1.53 ล้านบาท และโครงการพาร์ค 168 อ่อนนุช 19 ออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ “Let’s take a breath” สไตล์ญี่ปุ่น มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท

ส่วนอีก 2 โครงการเป็นทาวน์โฮม มูลค่าโครงการรวม 2,400 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เวนู 168 เวสต์เกต ตั้งอยู่ใกล้กับห้างเซ็นทรัล เวสต์เกต และโครงการเวนู 168 คูคต สเตชั่น  ใกล้กับสถานีบีทีเอสคูคต ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท

“โครงการที่เปิดตัวใหม่ทั้ง 4 โครงการนี้พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้อยู่อาศัย ภายใต้แบรนด์ “168”  ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” หรือ Livable Home โดยให้ความสำคัญกับเรื่องฟังก์ชันการใช้งาน  การออกแบบทั้งโครงสร้างและตกแต่งภายในแบบ Stylish Smart Living เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริงของคนเมืองรุ่นใหม่หรือกลุ่ม Gen Y ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เริ่มต้นทำงาน กลุ่มที่สร้างธุรกิจเอง รวมไปถึงกลุ่มสตาร์ทอัพ ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

ทั้งนี้ตามแผนการลงทุนโครงการใหม่ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 3 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกมีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 5 โครงการ มูลค่า 7,600 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการเพลส 168 ปิ่นเกล้า, โครงการลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น, โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต – คลอง 1 เฟส 3, โครงการลุมพินี วิลล์ จรัญ – ไฟฉาย (เฟสใหม่) และโครงการเวนู 168 ราชพฤกษ์ 1

ทำให้บริษัทมี Backlog หรือสินค้าที่ขายไปแล้วและรอโอนมูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท ที่พร้อมจะรับรู้เป็นรายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ต่อเนื่องไปถึงปี 2566-2567 แบ่งเป็นส่วนของคอนโดมิเนียม 1,400 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 700 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีสินค้าพร้อมขายอยู่ในพอร์ตทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านแกนวราบมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้ต่อเนื่องให้กับบริษัทในปี 2566-2568

สำหรับยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทยังคงรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายรวม 6,800 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 โดยแบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียม 4,800 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของยอดขายรวม และบ้านแนวราบ 2,000 ล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มของตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทประเมินว่าแม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯทั้งจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกิน 5% เพราะได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น การปรับเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำที่ 5-8% ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้างขยับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5%

รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นแตะ 90% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงประมาณ 30-40%  แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในตลาดยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อสูง คิดเป็นสัดส่วนไม่น้อยกว่า 70% ของกำลังซื้อในตลาดโดยรวม ซึ่งนับเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำคัญของบริษัทที่จะขับเคลื่อนยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ Turnaround ในปี 2565-2569 ที่ตั้งเป้ายอดขายรวม 5 ปีไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*