แกรนด์ ยูนิตี้ฯปรับแผนปี 66 รุกตลาดคอนโดฯ 3 แบรนด์หลักที่มีจุดขายชัดเจน เน้นกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ พร้อมจ่อผุดคอนโดฯโลว์ไรส์ใหม่อย่างน้อย 1 โครงการ “บลู สุขุมวิท 89″ มูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ส่วนแลนด์แบงก์สะสมย่าน CBD พื้นที่ 3 ไร่ อนาคตเล็งพัฒนาคอนโดฯระดับลักชัวรี่ แบรนด์ใหม่ มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท ทั้งตั้งงบซื้อที่ดินใหม่อีก 1,000 ล้านบาท ส่วนความคืบหน้า “อนิล สาทร 12”มียอดขายแล้ว 65% ระบุตั้งเป้ายอดขายงวดปี 65/66 ที่ 4,000 ล้านบาท และยอดโอนที่ 3,600 ล้านบาท
นางสาวทัดดาว จิระสวัสดิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY – “Makes Sense. เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ได้ส่งผลให้ภาพรวมตลาดเริ่มฟื้นตัว แต่ยังไม่กลับมาเติบโตเต็มที่เมื่อเทียบกับก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ซึ่งในส่วนของบริษัทฯเองถือว่าไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆมากนัก โดยเฉพาะมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ออกมาประกาศที่จะไม่ขยายมาตรการดังกล่าวที่จะหมดอายุในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ออกไปไปอีก เพราะลูกค้าของบริษัทฯส่วนใหญ่เป็นเรียลดีมานด์ ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และเป็นที่อยู่อาศัยสัญญาแรก แต่ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น มองว่าอาจจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้ออยู่บ้าง รวมถึงการกู้สินเชื่อของลูกค้า ซึ่งทางบริษัทฯได้มีการเตรียมตัวให้กับลูกค้าในการวางแผน เพื่อเตรียมตัวก่อนยื่นกู้ขอสินเชื่อกับธนาคาร

“ในช่วงไตรมาส 2/2565 ที่ผ่านมา ลูกค้าเป้าหมายของบริษัทที่เป็นกลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงในตลาดกลุ่มแมส เริ่มหันกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ใกล้กับรถไฟฟ้าในระดับราคาที่จับต้องได้ ที่เริ่มเห็นยอดขายเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “เดนิม จตุจักร” ยอดขายเพิ่มขึ้นมาเป็น 60% โครงการ เซียล่า จรัญฯ13 สเตชั่น” ที่ยอดขายเพิ่มมาเป็น 70% และโครงการ “เซียล่า เจริญนคร” ที่ยอดขายเพิ่มมาเป็น 50%” นางสาวทัดดาว กล่าว

นางสาวทัดดาว กล่าวต่อไปว่า พฤติกรรมของผู้ซื้อในปัจจุบันเริ่มกลับมามองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถเดินทางไปทำงานในเมืองได้สะดวกมากขึ้น หลังจากที่กลับมาทำงานในออฟฟิศตามปกติ และจะเน้นการเลือกซื้อโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ซึ่งสามารถเห็นโครงการและห้องพักจริงได้ และเข้าอยู่ได้ทันที ทำให้โครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอนจะมียอดขายที่เพิ่มขึ้นมา

สำหรับแผนการพัฒนาโครงการใหม่ของบริษัทในปี 2566 เป็นต้นไปนั้นจะรุกใน 3 แบรนด์หลัก ที่เป็นเซกเมนต์ที่มีความเหมาะสมในการทำตลาด และแต่ละแบรนด์จะมีจุดขายที่ชัดเจน เจาะกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ได้แก่

-“บลู”เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ที่สร้างไปได้ประมาณ 50% แล้วค่อยเปิดขาย และสามารถโอนได้เร็ว

-เดนิม เป็นโครงการที่พัฒนาบนพื้นที่ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 5 ไร่ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยที่ 90,000-100,000 บาท/ตารางเมตร

-เซียล่า เป็นคอนโดฯไฮไรส์ ใกล้ถนนใหญ่ และใกล้สถานีรถไฟฟ้า ราคาเฉลี่ย90,000-120,000 บาท/ตารางเมตร

ซึ่งใน 2566 เบื้องต้นวางแผนเปิดตัวอย่างแน่นอนแล้ว 1 โครงการ คือ  บลู สุขุมวิท 89″ เป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น มูลค่าโครงการไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และยังมีที่ดินเปล่ารองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในทำเล CBD พื้นที่ ประมาณ 3 ไร่ อีก 1 แปลง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล คาดว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ใหม่ ในระดับลักชัวรี่ มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท

พร้อมกับเตรียมงบซื้อที่ดินไว้รองรับการซื้อที่ดินใหม่ สำหรับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่เจาะกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงในปี 2565/2566 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท หากเป็นการพัฒนาโครงการแบรนด์ “บลู” จะสามารถซื้อที่ดินได้ประมาณ 4-5 แปลง แต่หากเป็นแบรนด์ “เซียล่า” หรือ “เดนิม” ก็จะสามารถซื้อแปลงที่ดินได้น้อยลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแปลงที่ดินที่ได้มา

ส่วนความคืบหน้าโครงการ “อนิล สาทร 12”(ANIL Sathorn 12) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ เดิมเป็นที่ตั้งของอาคาร ดับเบิล เอ บุ๊ก ทาวเวอร์ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯไฮไรส์ สูง 42 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 45-509.50 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 11-42 ล้านบาท จำนวน 222 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 3,500 ล้านบาท โดยได้เปิดขายไปเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 65% ในช่วงที่โครงการสร้างแล้วเสร็จ คาดว่าจะปิดการขายได้ในปี 2567

อย่างไรก็ตามในงวดปี 2565/2566 (ตุลาคม 2565 – กันยายน 2566) บริษัทฯได้ตั้งเป้ายอดขาย ที่ 4,000 ล้านบาท สูงขึ้นกว่างวดปี 2564/2565 ที่ทำยอดขายได้ 3,000 ล้านบาท ด้านยอดโอนของบริษัทฯในปี 2565/2566 ตั้งเป้าไว้ที่ 3,600 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากการโอนโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ในกับลูกค้า และโครงการ “อนิล สาทร 12” ที่จะมีการโอนเข้ามามากในปี 2566 จากปัจจุบันที่โอนไปแล้ว 1,500-1,600 ล้านบาท จากยอดขายที่ทำได้ 2,300 ล้านบาท ซึ่งมาจากลูกค้าชาวไทย สัดส่วน 70% และชาวต่างชาติ 30% อีกทั้งยังยังมีการโอนโครงการ “บลู สุขุมวิท 105” ที่จะเริ่มโอนในต้นปี 2566 โดยปัจจุบันมียอดขายแล้ว 30%

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*