นายกสมาคมอาคารชุดไทย มั่นใจตลาดอสังหาฯปี 2566 จะกลับมาฟื้นตัวตามการขยายตัวของ GDP ประเทศที่ประเมินว่าจะโต 4.7% รับปัจจัยบวกการเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวแห่เดินทางเข้ามาไทย กระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวเติบโต หนุนกำลังซื้อคอนโดฯราคา 2-3 ล้านบาทและ Budget Condo กลับมาฟื้นตัว เตรียมหารือบอร์ด BOI ขอขยายเพดานราคาคอนโดฯบีโอไอเพิ่มเป็น 1.5 ล้านบาทจากปัจจุบันกำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล

นายพีระพงศ์ จรูญเอก นายสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวถึงทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ว่า โดยปกติภาคธุรกิจอสังหาฯจะขยายตัวตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีการประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าว่าน่าจะเติบโตเฉลี่ย 4.7% ประกอบกับภาครัฐมีการการประกาศเปิดประเทศมากขึ้น ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเมืองไทยมากขึ้นคาดว่าสูงถึง 20 ล้านคน ส่งผลให้เกิดการจ้างงานในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ทั้งธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร สปา เป็นต้น

ส่งผลให้คนทำงานในกลุ่มนี้มีกำลังที่จะหาซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-3 ล้านบาท จะเติบโตมากขึ้นเพื่องรองรับกำลังซื้อดังกล่าว รวมถึงกลุ่มคอนโดฯราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทหรือกลุ่ม Budget Condo รองรับกลุ่มลูกค้าที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ที่ต้องการเริ่มต้นสร้างครอบครัวแต่ยังมีรายได้ไม่สูงนัก คาดว่าจะกลับมาได้รับความต้องการมากขึ้ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวทั้งพัทยา หัวหิน  เชียงใหม่ และภูเก็ต ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าเปิดตัวออกสู่ตลาดจำนวนไม่มาก เพราะผลกระทบจากต้นทุนรราคาที่ดิน ค่าจ้างแรงงาน และค่าก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น

ล่าสุดทางสมาคมอาคารชุดไทยกำลังประสานงานไปยังคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI เพื่อเข้าไปหารือถึงแนวทางในการขยายเพดานราคาของคอนโดฯบีโอไอ ซึ่งปัจจุบันได้กำหนดราคาขายของห้องชุดขนาดเริ่มต้น 24 ตารางเมตรไว้ไม่เกิน 1.2 ล้านบาทเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัดกำหนดราคาขายไว้ไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยจะเสนอขอปรับราคาขายเพิ่มเป็นไม่เกิน 1.5 ล้านบาทในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล

ส่วนการผ่อนคลายมาตรการ LTV ที่จะสิ้นสุดในปี 2565 นายพีระงพงศ์บอกว่า มาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เข้ามาช่วยแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงเกิดการระบาดโควิด-19 ได้มาก โดยเฉพาะการซื้อบ้านบ้านหลังที่ 2 และหลังที่ 3 รวมถึงบ้านราคาเกิน 10 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้กลุ่มคนซื้อที่มีศักยภาพและมีเงินฝากตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น

ดังนั้นในปีหน้าคงต้องรอประเมินสถานการณ์ตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีแรกดูก่อนว่ากำลังซื้อจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง  หากสถานการณ์ตลาดกลับมาชะลอตัวอีกครั้ง ทางสมาคมฯอาจจะมีการหารือร่วมกับสมาคมอสังหาฯอีก 2สมาคมเพื่อขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต่ออายุมาตรการ LTVอีกครั้งเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาฯ แต่เชื่อมั่นว่าการขายและการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปีหน้าจะกลับมาใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*