สิวารมณ์ฯมั่นใจตลาดที่อยู่อาศัยปี 66-67 ทยอยฟื้นตัว เติบโตที่ระดับ 5-7% ต่อปี ประกาศรุกแนวราบต่อเนื่อง ระบุช่วง 3-5 ปี ขยายฐานเซกเมนต์บ้านราคา 8-12 ล้านบาทขึ้นไป กระจายในทุกทำเล โดยเฉพาะย่านซีบีดีนนทบุรี เผยแผนปี 66 เตรียมผุด 3 โครงการใหม่ เดินหน้าต่อยอดธุรกิจจ่อเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน130 ล้านหุ้น ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หวังนำเม็ดเงินพัฒนาโครงการในอนาคตมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจ  ประกาศ 9 เดือนแรก มีรายได้รวม 532 ล้านบาท กำไรสุทธิ 36 ล้านบาท
นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา
นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ SVR เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาปี 2565 ว่า ยอดขายตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 4.5% จากปี 2564 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01และลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจำนองจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 สำหรับ สำหรับราคาบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท (18 มกราคม 2565 – 31 ธันวาคม 2565) ,การเลื่อนใช้ราคาประเมินที่ดินรอบปี 2564 – 2567 เป็น 1 มกราคม 2566,การลดอัตราจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรอบปี 2564 ลง 90% และการออกนโยบายผ่อนคลายมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาที่ทำระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2565

อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นๆในการสนับสนุน ได้แก่ ราคาของที่ดินในทำเลชานเมืองยังมีราคาต่ำกว่าย่านใจกลางเมือง และความต้องการของผู้บริโภคในโครงการบ้านแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์มีเพิ่มขึ้นทำให้ตลาดมีทิศทางการเติบโตขึ้น ,การขยายเส้นทางรถไฟฟ้าครอบคลุมพื้นที่รอบนอก เช่น สายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และคาดการณ์ว่าในปี 2566-2567 คาดว่ายอดขายตลาดที่อยู่อาศัยจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเติบโตที่ระดับ 5-7% ต่อปี

“แม้ว่าบริษัทฯจะเพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา แต่ผู้บริหารและทีมงาน ล้วนมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี  โดยที่ผ่านมาบริษัทจะมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการแนวราบมาโดยตลอดและได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีและมองว่าความต้องการของผู้บริโภคในโครงการบ้านแนวราบในกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 4.5%จากปี 2564 ทำให้ตลาดมีทิศทางการเติบโตขึ้น”นายอรรถปวิทย์ กล่าว

นายอรรถปวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการดำเนินของบริษัทฯนั้นจะพยายามไม่ซื้อที่ดินแปลงใหญ่ แต่จะซื้อในหลากหลายทำเล เพื่อครอบคลุมความต้องการของดีมานด์ และขนาดที่ดินจะไม่เกิน 50 ไร่ ที่สามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 3  ปี  โดยภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้าจะขยายให้ครอบคลุมไปในหลากหลายทำเลรอบกทม.-ปริมณฑลมากขึ้น เพื่อสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยมองว่าที่ดินย่านชานเมืองยังตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เป็นเรียลดีมานด์ โดยปัจจุบันพัฒนาทั้งหมดแล้ว 9 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,600 ล้านบาท ภายใต้ 5 แบรนด์หลัก  ส่วนใหญ่อยู่ในทำเล จ.สมุทรปราการ เป็นหลัก โดยมั่นใจว่าบ้านราคา 3-7 ล้านบาท ยังเป็นกลุ่มที่มีฐานทางการตลาดมากที่สุด และส่วนใหญ่เป็นเรียลดีมานด์ ดังนั้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯจึงไม่ค่อยมีผลกระทบ ส่วนดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น ก็มองในเรื่องของการบริหารจัดการภายในองค์กร ด้วยการลดต้นทุนในเรื่องอื่นๆให้ได้มากที่สุด และเพิ่มพันธมิตรในการพัฒนาโครงการให้มากที่สุด เช่น ซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น

ทั้งนี้ในระยะเวลา 3-5 ปี จะรุกเซกเมนต์บ้านที่ราคา 8-12 ล้านบาทขึ้นไป กระจายในทุกทำเล โดยเฉพาะย่านซีบีดี และพื้นที่จ.นนทบุรี มากขึ้น เพราะดีมานด์ดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อค่อนข้างดี แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะอยู่ในสภาววะผันผวน แต่ไม่ค่อยมีผลกระทบกับกำลังซื้อกลุ่มดังกล่าว และปี 2566 จะเปิดตัวใหม่อีกประมาณ 3 โครงการ ส่วนรายละเอียดต่างๆยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้

และด้วยความมุ่งมั่นในการต่อยอดธุรกิจสู่ความยั่งยืนในอนาคต ส่งผลให้บริษัทฯมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อนำเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุน เพื่อต่อยอดการพัฒนาโครงการในอนาคต เนื่องจากมองว่าความต้องการของผู้บริโภคในโครงการบ้านแนวราบในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีดีมานด์เพิ่มขึ้น โดยจะเน้นพัฒนาโครงการพื้นที่ใกล้แหล่งชุมชน หรือแหล่งที่ทำงาน แหล่งสาธารณูปโภคทางด้านคมนาคม (ถนนสายหลัก ทางด่วน มอเตอร์เวย์ สถานีรถไฟฟ้ารถไฟฟ้า)

สำหรับ 5 แบรนด์ที่พัฒนาคือ โครงการ SIVAROM CITY ซึ่งเป็นบ้านระดับราคาเริ่มต้น 1.7-3.0 ล้านบาท/ยูนิต, SIVAROM VILLAGE  ราคาเริ่มต้น 2.5-5.0 ล้านบาท/ยูนิต, SIVAROM NATURE PLUS ราคาเริ่มต้น 2.3-5.9 ล้านบาท/ยูนิต, SIVAROM  PARK เริ่มต้น 3.5-4.3 ล้านบาท/ยูนิต และ SIVAROM  GRAND ราคาเริ่มต้น 4.6-6.2 ล้านบาท/ยูนิต สามารถตอบโจทย์ทุก Lifestyle ทุก Generation ได้อย่างลงตัว โดยทุกโครงการใช้เวลาจำหน่ายต่อโครงการเฉลี่ย 1 ถึง 3 ปี ทั้งนี้เม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนนั้น นอกจากที่บริษัทฯจะนำไปพัฒนาโครงการในอนาคตแล้ว บริษัทฯ ยังนำไปชำระเงินกู้ระยะสั้น รวมถึงนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการอีกด้วย

ด้าน นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส SVR กล่าวว่า จากกลยุทธ์ในพัฒนาโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านจัดหาที่ดิน  ในทำเลที่มีศักยภาพ รวมถึงการออกแบบ ทำให้สามารถตอบโจทย์ต้องการของตลาดและผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญสามารถปิดโครงการได้ภายในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 31 กันยายน 2565 มีรายได้รวม 532 ล้านบาท กำไรสุทธิ 36 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 576 ล้านบาท กำไรสุทธิ 64 ล้านบาท, ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 557 ล้านบาท กำไรสุทธิ 42 ล้านบาท และปี 2562 มีรายได้รวม 243 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 5 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับผลการดำเนินงานมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่สามารถฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสถาการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้อย่างแข็งแกร่ง จนสามารถสะท้อนให้เห็นถึงรายได้และกำไรของสิวารมณ์ฯ ที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจากอัตราการเติบโตดังกล่าว ประกอบกับแผนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในโครงการใหม่ๆ เพื่อให้สอดรับกับแผนขยายโครงการภายใต้การมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอยู่อาศัย และตอบโจทย์การยกระดับการใช้ชีวิตที่ลงตัว ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยจะมุ่งเน้นโซนพื้นที่ที่มีอัตราเติบโตของประชากรสูง และมีการขยายโครงข่ายคมนาคม และพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมส่วนต่อขยาย จากปัจจัยดังกล่าวยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตผลการดำเนินงานของ สิวารมณ์ฯมีโอกาสก้าวสู่ระดับ High Growth อย่างต่อเนื่องในอนาคต

ขณะที่ นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินว่า สิวารมณ์ฯเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25.49% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) 1.00 บาท โดย สิวารมณ์ฯ เป็นผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ เป็นอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์โครงการที่อยู่อาศัย เช่น ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตสูง

และด้วยวิสัยทัศน์ ภายใต้การขับเคลื่อนด้วยผู้บริหารกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญเรื่อง ทำเลที่ตั้งโครงการที่มีศักยภาพ (SMART Location) , การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย (SMART Function) , ความคุ้มค่าในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย (SMART Value) และ ความทันสมัยและความสะดวกสบาย (SMART Home) จึงทำให้โครงการของสิวารมณ์ฯสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างลงตัว

ส่งผลให้ปัจจุบันสิวารมณ์ฯถือเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว ภายใต้ความแตกต่างด้านการให้บริการและพัฒนาแบบบ้านให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นด้วยศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทำให้เป็นเครื่องตอกย้ำที่แสดงให้เห็นถึงความน่าสนใจ ในการเข้ามาลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์น้องใหม่ ภายใต้ชื่อ      สิวารมณ์ (SVR)

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*