บิ๊กศุภาลัยฯมั่นใจปัจจัยบวกดันเศรษฐกิจไทยฟื้น เดินหน้าลงทุนในออสเตรเลีย และธุรกิจใหม่ๆในประเทศต่อเนื่อง หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้ระยะยาว เดินหน้าขับเคลื่อนแผนธุรกิจปี 66 ลุยเปิด 37 โครงการใหม่ทั่วประเทศ มูลค่า 41,000 ล้านบาท มากสุดในรอบ 34 ปี  ตั้งเป้าพิชิตยอดขาย New High 36,000 ล้านบาท เชื่อหลังจีนเปิดประเทศ หวลกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยไทยมากสุด ทั้งเร่งสร้างนวัตกรรมการออกแบบบ้านใหม่การให้บริการลูกค้า ควบคู่กับการใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบด้าน
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน)หรือ SPALI เปิดเผยว่า ปี 2565 เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวมากขึ้นจากปี 2564 เนื่องจากมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในไทยขณะเดียวกันภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 เริ่มฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นธุรกิจด้วยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และมาตรการผ่อนคลายกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (อัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกัน Loan to Value Ratio : LTV) ทำให้เกิดการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค

สำหรับปี 2566 คาดว่าสภาพเศรษฐกิจจะเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง และกำลังซื้อจากต่างชาติจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง อีกทั้งมีการต่อมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยปี 2566 โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 1% ของราคาประเมินหรือราคาขาย (มาตรการก่อนหน้าลดเหลือเพียง 0.01%) และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% จากยอดเงินกู้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้เป็นปีที่ดีแม้จะมีเรื่องภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

ในส่วนของบริษัทฯ มีการขยายการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ประเทศออสเตรเลีย ได้มีการลงทุนไปแล้ว 12 โครงการ ใน 4 เมืองหลัก มูลค่าโครงการ 52,600 ล้านบาท ด้วยเม็ดเงินลงทุนรวมของศุภาลัยฯ 9,748 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก และมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีการลงทุนธุรกิจอื่นๆที่หลากหลายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตและสร้างรายได้ระยะยาว เช่น Resort Housing ที่โครงการศุภาลัย ซีนิค เบย์ พูล วิลล่าภูเก็ต , Rental Office ที่โครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร, Serviced Condo ในหลายโครงการ, Home Office  ที่โครงการศุภาลัยแกรนด์ เอสเซ้นส์ @ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์,  Community Mall / Market  ในจังหวัดหัวเมืองใหญ่  สนับสนุนการกระจายรายได้สู่ชุมชน และ Co-Working ชื่อว่าMEET & CO ตั้งอยู่ที่อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ เป็นต้น โดยปัจจุบันบริษัทฯมีรายได้จากการเช่าระยะยาวไม่ถึง 10%

ด้านนวัตกรรมการออกแบบที่อยู่อาศัย ได้มีการสร้างสรรค์แบบบ้านซีรีส์ใหม่ อาทิ Romantic Charm และ Wellness Residence เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และรองรับไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบระดับราคา 10 – 30 ล้านบาทเพิ่มมากขึ้น พร้อมลุยเปิดขายทั่วประเทศทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เจาะลูกค้าระดับบน  เพราะที่ผ่านมาบริษัทฯ  มีการเปิดตัวแบรนด์ “เอเลแกนซ์”  ได้แก่  “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121” แบบบ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุด 3 แบบ 3 สไตล์ ระดับลักซ์ชูรี่ ราคาเริ่มต้น 20 – 30 ล้านบาท ปักหมุดทำเลแรกบนถนนบรมราชชนนี และศุภาลัย เอเลแกนซ์ พหลโยธิน 50 บ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น ในสไตล์ Modern Metro ราคาเริ่มต้น 17.99 ล้านบาท บนศักยภาพทำเลใจกลางเมือง “ถนนเทพรักษ์” ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ยังขยายฐานธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ จากเดิมที่เคยลงทุนแห่งแรก “อาเซียน พลาซ่า” ที่อ.ใหญ่ จ.สงขลา ไปเมื่อประมาณปี 2558 โดยคอมมูนิตี้มอลล์ แห่งที่ 2 นี้ ตั้งอยู่ที่อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ภายใต้ชื่อ เอส อเวนิว ระยอง บนพื้นที่ 25 ไร่(จากที่ดินทั้งหมด 200 กว่าไร่) แบ่งเป็นศูนย์การค้า,ตลาดให้เช่าประมาณ1,000 แผง และอาคารพาณิชย์ ประมาณ 50 ยูนิต คาดว่าจะเปิดให้บริการบางส่วนในปลายปี2566 และต้นปี 2567  และพื้นที่อีก 20 ไร่ ได้แบ่งขายให้โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ (Singapore International School Bangkok : SISB) ส่วนพื้นที่ที่เหลือจะพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ 4 โครงการ โดยเมื่อปี 2563 ได้เปิดขายไปแล้ว 2 โครงการ คือ ศุภาลัย ปาล์มสปริงส์ ระยอง และ ศุภาลัย บลิซ บ้านค่าย ส่วนโครงการที่ 3 จะเปิดตัวในปีนี้คือ ศุภาลัย แกรนด์ วิลล์

สำหรับธุรกิจเวลเนส (Wellness) มีการขยายฐานไปยังทำเลข้างโรงพยาบาลบางไทรจ.พระนครศรีอยุธยา ภายใต้แบรนด์ ศุภาลัย เวลเนส วิลเลจบนพื้นที่40-50 ไร่พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ สูง 1-2 ชั้น ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1.9 ล้านบาท ขึ้นไปมูลค่าโครงการประมาณ 400-500 ล้านบาทซึ่งเป็นการขายโอนโฉนด สามารถโอนต่อให้ทายาทได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมสังคม คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเปิดตัวได้ประมาณต้นไตรมาส 4/2566

ซึ่งต่างจากโครงการศุภวัฒนาลัย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี  ที่เน้นในเงื่อนไขการซื้อ-เช่า มี 2 รูปแบบคือ 1.การทำสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี สามารถโอนเปลี่ยนชื่อได้ไม่จำกัดอายุผู้เช่า ราคาเริ่มต้น 1.3 – 1.6 ล้านบาท(อยู่ได้ 1-2 คน) ไม่จำกัดอายุขั้นต่ำ และ2.สัญญาเช่าตลอดชีพ ผู้เช่าต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี สามารถอยู่ได้ตลอดชีวิต ราคาเริ่มต้น 1.1 – 1.3 ล้านบาท (อยู่ได้ 1-2 คน) ทั้งนี้กรณีผู้เช่ายังไม่เสียชีวิต และต้องการยกเลิกสัญญา ภายใน 20 ปีแรก คืนเงิน 50% ของราคาเช่า หากเกิน 20 ปี คืนเงิน 25% ของราคาเช่า

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI กล่าวว่า ปี 2565 ที่ผ่านมา  บริษัทฯ ทำผลงานได้ประสบความสำเร็จ เพราะสามารถทำยอดขายรวมได้ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 28,000 ล้านบาท ทำให้ตัวเลขยอดขายพุ่งสูงถึง 32,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ทำได้ 24,069 ล้านบาท โดยเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบ และ คอนโดมิเนียม 31 โครงการ มูลค่ารวม 37,800 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ (กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล 10 โครงการ, ภูมิภาค 18 โครงการ)  และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ (กรุงเทพฯ และปริมณฑล 2 โครงการ, ภูมิภาค 1 โครงการ)  แต่สามารถเปิดตัวได้ 31 โครงการ มูลค่ารวม 37,800 ล้านบาท แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จด้านยอดขายมีผลอันเนื่องมาจากบริษัทฯ มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถเปิดตัวโครงการใหม่ในแต่ละจังหวัดโดยมีการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี สินค้ามีความหลากหลาย และตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งมียอด Reject เพียง 11% ลดลงจากปี 2564 ถึง 50% ซึ่งจากข้อมูลของสถาบันการเงินระบุว่าตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing Loan : NPL) ของบริษัทฯ ถือเป็นอันดับ 2 ที่ลดลงถึง 50%

ขณะที่ปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายอดขาย 36,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 36,000 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 37 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 34 โครงการ  มูลค่า 32,700 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท ถือเป็นปีที่มีการพัฒนามูลค่าสูงสุด นับตั้งพัฒนาโครงการมาในรอบ 34 ปี  และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ด้วยความมั่นคง และยั่งยืน เตรียมบุกหนักในโครงการภูมิภาคต่างๆ ในจังหวัดใหม่ๆที่มีทำเลศักยภาพและมีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันศุภาลัยพัฒนาโครงการครอบคลุม 28 จังหวัด หากรวมที่อยู่ในระหว่างการออกแบบ จะมีถึง 45 จังหวัด จำนวน 247 โครงการ(รวมที่จะพัฒนาในต้นปี 2567) แต่หากที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและขายในปี 2566 มีจำนวน 220 โครงการ

โดยในปี 2566 เสริมความแข็งแกร่งพัฒนาโครงการใหม่ใน 5 จังหวัดใหม่ ได้แก่ ลำปาง ลำพูน นครปฐม ราชบุรี และจันทบุรี จากปัจจุบันที่พัฒนาในจ.ชลบุรีมากที่สุด จำนวน 15-17 โครงการ รองลงมาคือที่อำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา จำนวน 12 โครงการ

นายไตรเตชะ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่จีนประกาศเปิดประเทศ เชื่อว่าจะมีผู้ที่สนใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยในประเทศไทยจริง และเลือกซื้อมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เนื่องจากที่ผ่านมาชาวจีนนิยมส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยมากขึ้น และในช่วงปลายปี 2565 ก็เริ่มเห็นภาพชาวจีนเริ่มกลับมาโอนที่อยู่อาศัยบ้างแล้ว โดยที่ผ่านมาจะนิยมซื้อโครงการของบริษัทฯราคาตั้งแต่ 20-30 ล้านบาท แต่หลังจากเปิดประเทศจะมีการกลับมาซื้อคอนโดฯระดับราคา 3-5 ล้านบาทมากขึ้น

นอกจากนี้บริษัทฯยังพร้อมกับขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อการให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ เช่น Supalai Sabai แอปพลิเคชัน ที่ช่วยให้ลูกบ้านศุภาลัยใช้ชีวิตในบ้านได้สบายยิ่งขึ้น ทั้งการจ่ายบิล แจ้งซ่อม มีสิทธิพิเศษหลากหลาย อัปเดตทุกข่าวสาร เป็นต้น

Supalai Privilege คัดสรรสิทธิพิเศษใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกบ้าน มุ่งเน้นความสนุกสนาน สะดวกสบายให้กับการใช้ชีวิตของลูกบ้าน และสามารถตกแต่ง ซ่อมแซม ที่อยู่อาศัยให้ใช้งานได้ยาวนาน รวมทั้งมอบสิทธิพิเศษเกี่ยวกับสุขภาพให้ลูกบ้าน เป็นต้น

Supalai Care เป็นบริการให้คำแนะนำลูกค้าสำหรับการใช้งานที่ถูกต้องในบ้านและคอนโดมิเนียม การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาทั้งในช่วงรับประกันและหลังหมดประกัน เป็นต้น

อีกทั้งผนึกพันธมิตรธุรกิจ เช่น เอสซีจี ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และติดตั้งโซลาร์รูฟในโครงการของศุภาลัย ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยในโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างต่อเนื่องนำร่องโครงการแรกที่ ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ รังสิต คลอง 2 ร่วมกับทรู ดิจิทัล ติดตั้ง Smart Residence 40 โครงการทั่วประเทศ และร่วมกับชาร์จ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า ติดตั้ง EV Charger เป็นต้น  ทั้งนี้เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าของศุภาลัยฯ   

นายกิตติพงษ์ ศิริลักษณ์ตระกูล
ด้าน นายกิตติพงษ์ ศิริลักษณ์ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานก่อสร้างอาคารสูง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชนหรือ SPALI กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยมีส่วนร่วมในการใส่ใจดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมที่อยู่อาศัยสีเขียวบ้านและคอนโดมิเนียมศุภาลัยฯ คัดสรรวัสดุการก่อสร้างเน้นประหยัดพลังงานลดความร้อน ลดการใช้น้ำ ลดขยะ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสานต่อโครงการ Waste Management ในกระบวนการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง เช่น การเลือกใช้ท่อที่ตัดพอดีกับความยาวที่ใช้จริง การเปลี่ยนพาเลทไม้ที่ใช้ขนส่งอิฐมวลเบาให้เป็นพาเลทพลาสติกซึ่งทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น การกำหนดขนาดของลูกปูนในการทดสอบกำลังรับแรงอัดของคอนกรีตให้มีขนาดที่เหมาะสม แต่ยังคงประสิทธิภาพเดิมไว้ได้ ตลอดจนการนำเศษวัสดุเพื่อกลับมาใช้ใหม่อย่างเช่น สายรัดวัสดุก่อสร้างนำไปสานเป็นตะกร้า หรือเศษอิฐมวลเบานำไปทำเป็นกระถางต้นไม้ เพื่อลดปริมาณความสูญเสียของวัสดุก่อสร้าง และสามารถจัดการกับเศษวัสดุก่อสร้างให้เกิดมูลค่า และประโยชน์สูงสุด 

นอกจากนี้ยังการบริหารจัดการของเสียอย่างยั่งยืน โดยจัดวางถังขยะภายในโครงการก่อสร้างซึ่งมีอยู่ 9 ประเภท  ได้แก่ เศษกระดาษ กระป๋อง เศษโฟม ขวดแก้ว ขยะอันตราย ขยะเปียก ขยะติดเชื้อ ขยะพลาสติก และฝาขวดพลาสติก เพื่อคัดแยกขยะเหลือใช้อย่างเป็นระบบ อีกทั้งนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการก่อสร้าง เช่น ข้อต่อท่อระบายน้ำ 4 ทาง เพื่อลดจำนวนข้อต่อท่อระบายน้ำเสียให้น้อยลง  ลดระยะเวลาในการทำงาน  ลดช่องท่องานระบบสุขาภิบาลให้เล็กลง  และเพิ่มพื้นที่ภายในห้องน้ำของลูกค้าให้กว้างมากขึ้น  รวมถึงการพัฒนาระบบสีรองพื้นและสีทับหน้า  Direct to Metal  รูปแบบใหม่ ลดระยะเวลาในการทำงานมีประสิทธิภาพการกันสนิมและยังมีนวัตกรรมข้อต่อท่อระบบดับเพลิง เพื่อลดจำนวนข้อต่อท่อระบบดับเพลิง ลดการเชื่อมลดระยะเวลาในการทำงาน ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้อย่างยั่งยืนเพื่อคืนธรรมชาติสู่สังคมนับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บริษัทฯให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*