เศรษฐา ทวีสิน”เผยปัจจัยภายนอกในประเทศยังเป็นโจทย์ยากของปี66 รุกเดินหน้าเปิด 52 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 75,000 ล้านบาท ทุบสถิติเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ วางเป้ายอดขายปีนี้แตะ 55,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้รวม  40,000 ล้านบาท ประกาศ “ยังไม่ไปไหน พร้อมอยู่กุมบังเหียนด้าน Synergy”ต่อไป ตอกย้ำเบอร์หนึ่งแบรนด์อสังหาฯ ไทย ในใจตลาดต่างชาติ ทั้งขยายฐานตลาด CLMV หวังกวาดยอดขาย 12,000 ล้านบาท พร้อมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าบริษัทแรกในอสังหาฯ ไทย ที่ตั้งเป้าสู่ Net-Zero
นายเศรษฐา ทวีสิน
นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการแถลงทิศทางธุรกิจของแสนสิริ ไม่ใช่เรื่องอื่น ที่ผ่านมาก็อยู่ด้วยกันตลอด และจะอยู่ด้วยกันต่อไปนานๆ โดยปี 2565 ที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นปีแรกที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน ภายหลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจัยสำคัญมาจากการได้รับวัคซีน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ดีการฟื้นตัวกลับมายังคงไม่เต็มที่ ทำให้มีทั้งโอกาสทางธุรกิจและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือในอีกหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย แนวโน้มราคาพลังงานและราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นกดดันให้ต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

แต่อย่างไรก็ดีมองว่าภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจในไทยมีส่วนสำคัญในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ และมีความแข็งแกร่งด้านการเงินอย่างสูง ขณะเดียวกันก็มีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เป็นปัจจัยถ่วง ซึ่งจะเป็นโจทย์สำคัญของทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบันและรัฐบาลชุดต่อไปให้แก้ไขด้วยเช่นกัน ทั้งนี้แม้ว่าปีที่ผ่านมาจะเป็นปีที่มีความท้าทายของการดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน แต่แสนสิริฯสามารถเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนประสบความสำเร็จ ด้วยยอดขายรวมถึง 50,000 ล้านบาท โตขึ้นเกือบ 50% จากปีที่ผ่านมา และยอดโอน 36,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

“โจทย์ยากในปีนี้ คือความไม่แน่นอนจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมไปถึงการเมืองระหว่างประเทศของจีน-สหรัฐอเมริกา และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้นมา 3 รอบแล้ว ก็กระทบกับต้นทุนรวมประมาณ 75 สตางค์ แต่ก็มีข้อดีเรื่องท่องเที่ยว ที่ชาวจีนเริ่มกลับมาแล้ว สำหรับปัจจัยภายในประเทศ หากจะให้ดีการท่องเที่ยวต้องกลับมา และสามารถควบคุมค่าเงินบาทให้ได้ ก็จะมีเงินจากนักท่องเที่ยวและการส่งออกเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก”นายเศรษฐา กล่าว

โดยในปี 2566 แสนสิริฯยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจและเดินหน้าเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสังคมและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสนสิริฯเชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในอนาคต โดยวางแผนเปิดตัว 52 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 75,000 ล้านบาท ซึ่งจะนับเป็นการทุบสถิติเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 30 โครงการ และคอนโดมิเนียม 22 โครงการ โดยตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 2566 ไว้ที่ 55,000 ล้านบาท โตขึ้นเกือบ 50% จากปีที่ผ่านมา ส่วนยอดโอน 36,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เป้าหมายรายได้รวม 40,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์รวมถึงเป้าหมายกำไรสุทธิ ที่จะทุบสถิติ ALL-Time High พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ

นับได้ว่าปี 2565 เป็นปีแรกที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน แต่ก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือในอีกหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย แนวโน้มราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นกดดันให้ต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เรามีผลกำไรที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และปีนี้ผลกำไรก็จะสูงขึ้นไปอีกเป็นประวัติศาสตร์เช่นกัน ซึ่งผมจะยังไม่ไปไหน ผมยังอยู่กุมบังเหียนด้านกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ(Synergy)ต่อไป”นายเศรษฐา กล่าวในที่สุด

นายอุทัย  อุทัยแสงสุข
นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ในปีนี แสนสิริฯจะก้าวแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยกลยุทธ์สำคัญ ภายใต้ 3 กุญแจสำคัญขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ รุกขยายธุรกิจเต็มสูบ สนับสนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม โดยวางแผนเปิดตัว 52 โครงการใหม่ มูลค่ารวมสูงถึง 75,000 ล้านบาท ซึ่งจะนับเป็นการเปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เติบโตขึ้นจากปีก่อน 74% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 1,000% หรือ 10 เท่าตัว ครอบคลุมทุกโปรดักส์ ทั้งคอนโดมิเนียม – บ้านเดี่ยว – บ้านแฝด – ทาวน์โฮม ทุกเซกเมนต์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่ม real demand  มากกว่าปี 2565 ที่เปิดตัว 46 โครงการ มูลค่า 50,000 ล้านบาท แต่สามารถเปิดตัวได้ 39 โครงการ มูลค่า 43,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราย 27 โครงการ และคอนโดฯ 12 โครงการ  โดย 7 โครงการที่เหลือได้เลื่อนมาเปิดตัวในช่วงไตรมาส1-2 ในปี 2566

สำหรับโครงการที่เปิดในปีนี้แบ่งเป็นแนวราบ จำนวน 30 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 50,700 ล้านบาท โดยโครงการแนวราบที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ได้แก่ การเปิดตัว “นาราสิริ พหล – วัชรพล” มูลค่าโครงการ 5,300 ล้านบาท เพื่อต่อยอดความสำเร็จ จากปีที่ผ่านมา จากการ Sold out ปิดการขาย นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา ในเวลาเพียง 1 เดือน ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ซูเปอร์ลักชัวรี่ไทย จากความเชื่อมั่นและการยอมรับจากลูกค้าระดับบน ทั้งในแบรนด์และคุณภาพของโครงการแสนสิริ รวมถึงความเข้าใจในตัวตนและรสนิยมการอยู่อาศัยที่แท้จริง

นอกจากนี้ แสนสิริฯยังมีแผนต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ “บูก้าน” โดยจะเปิดตัว “บูก้าน” เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ รวม 3 โครงการ บน 3 ทำเลไพร์มใหม่ ได้แก่ ทำเลกรุงเทพกรีฑา, พัฒนาการ และ พระราม 9 – เหม่งจ๋าย มูลค่ารวม 3,600 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวโครงการแรก “บูก้าน กรุงเทพกรีฑา” จ่อคิวเปิดขายวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2566 นี้ รวมถึงตอกย้ำความสำเร็จของบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีแบรนด์ “เศรษฐสิริ” ที่ในปีนี้ จะมีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี ระดับราคา 12-25 ล้านบาท ที่เจาะกลุ่ม Target อายุน้อยลง ประสบความสำเร็จเร็ว ด้วยการเปิดตัว New Design Series ภายใต้แนวคิด Portrait of Success กับ 4 ดีไซน์ใหม่ เปิดตัวด้วยโครงการแรก “เศรษฐสิริ ดอนเมือง” ในโฉมใหม่ ดีไซน์ใหม่ล่าสุดของแบรนด์เศรษฐสิริ สไตล์ “Georgian” จอร์เจียน แรงบันดาลใจจากบ้านของเหล่าเศรษฐีอเมริกัน ที่หรูหรา สง่างาม แต่ยังคงความคลาสสิกไว้ ในแบบฉบับของแบรนด์เศรษฐสิริ ในทำเลดอนเมือง เพียง 2 นาที จากรถไฟฟ้าสายสีแดงสถานีดอนเมือง และ 5 นาทีจากสนามบินดอนเมือง ราคาเริ่มต้น 13 ล้านบาท* เตรียมเปิดขายในเดือนพฤษภาคมนี้

พร้อมรุกต่อแบรนด์ “สราญสิริ” บ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว ดีไซน์ใหม่ซีรีส์  Modern Farmhouse ซึ่งปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีมากจากกลุ่มลูกค้า โดยในปีนี้แสนสิริมีแผนรุกแบรนด์บ้านเดี่ยว สราญสิริ ที่จะเปิดตัวรวม 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมเกือบ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้แสนสิริยังเตรียมรุกเปิดตัวมิกซ์โปรดักส์ บ้านและทาวน์โฮมในโครงการเดียว แบรนด์ “อณาสิริ”รวม 9 โครงการใหม่ กับ 2 ดีไซน์ ที่ได้รับการตอบรับที่ดี Japanese และ Mediterranean

อีกทั้งในปีนี้แสนสิริฯยังมีความเคลื่อนไหวของการเปิดตัว 9 แบรนด์ใหม่จากแสนสิริฯ ที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เพื่อขยายในแต่ละ Portfolio  ให้แข็งแกร่งและครอบคลุมทุกความต้องการและระดับราคามากยิ่งขึ้น ตั้งแต่แบรนด์ที่อยู่ใน Sansiri Luxury Collection ที่จะขยายพอร์ตลักชัวรี เซกเมนต์ของแสนสิริให้โตขึ้นแบบก้าวกระโดด ได้แก่ No.19 (นัมเบอร์ นายทีน) และ Sirinsiri (สิริณสิริ) แบรนด์ใหม่ในระดับพรีเมียม เซกเมนต์ ได้แก่ Narinsiri (ณริณสิริ) และ Ombré (ออมเบร)วมทั้งแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ ได้แก่ HUB (ฮับ) และ Cabanas (กาบานาส) ทำเลหัวหิน ที่จะเริ่มทยอยเปิดตัวแบรนด์ใหม่ต่างๆ ในปีนี้ เพื่อตอกย้ำ Forward Thinking Brand และความเป็น First Mover ของแสนสิริฯ

นอกจากนี้แสนสิริจะรุกขยายเปิดตัวคอนโดมิเนียม อีก 22 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 24,300 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนถึง 151% โดยคอนโดมิเนียม ที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ได้แก่ การเปิดตัว New Luxury Condominium ในสุดยอดทำเลศักยภาพ อาทิ ทำเลใจกลางเมืองอย่าง “อารีย์”  และ “ราชเทวี” การเปิดตัวคอนโดมิเนียม แบรนด์ใหม่ที่เป็น One of a kind Project หรือแบรนด์ใหม่ที่มีความโดดเด่นบนโลเคชั่นเดียว อาทิ  Cabanas Huahin และ อีก 2 แบรนด์คอนโดมิเนียมไลฟ์สไตล์ในย่านสุขุมวิท ประเดิมต้นปีด้วยการรุกตลาดคอนโดฯ ในไตรมาสแรก ด้วยการรีเฟรชแบรนด์ “ดีคอนโด” ซึ่งเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของแสนสิริฯในกลุ่มคอนโดฯ ราคาเข้าถึงง่าย ที่ได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมมาตลอด 13 ปี ทั้งด้านยอดขายและการพัฒนาโครงการที่โดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในปีนี้ แสนสิริฯจึงปรับภาพแบรนด์ใหม่ให้มีความทันสมัยมากขึ้น ในคอนเซ็ปต์ “Stay Well-Rounded คอนโดฯที่คิดเพื่อชีวิตดีรอบด้าน” นำเสนอคอนโดแนวคิดใหม่ ใส่ใจความเป็นอยู่ที่ดีในชีวิตทุกด้าน โดยมุ่งเน้นในเรื่องของ Well-Being สร้างพื้นที่ Safe Zone ทั้งกายและใจ กับ “ดีคอนโด” ซีรี่ส์ใหม่ 5 โครงการ 5 ทำเลศักยภาพ ทั่วประเทศตลอดปีนี้ รวมมูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท นำทัพด้วยการส่ง 2 โครงการแรก “หาดใหญ่-ภูเก็ต”รับเรียลดีมานด์ และตลาดท่องเที่ยวฟื้น “ดีคอนโด รีฟ ภูเก็ต” เริ่ม 1.59 ล้านบาท* ทำเลศักยภาพใกล้ใจกลางเมืองและหาดป่าตอง แหล่งท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ชื่อดังของภูเก็ต และ “ดีคอนโด แซนด์ หาดใหญ่” เริ่ม 1.79 ล้านบาท* ใจกลางเมืองหาดใหญ่ เชื่อมต่อถนนกาญจนวนิช โดยเตรียมเปิดตัว ทั้ง 2 ดีคอนโดใหม่ มีนาคม 2566 นี้

การรุกตลาดต่างจังหวัดต่อเนื่อง ใน 6 จังหวัด ได้แก่ หัวหิน, ภูเก็ต, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ขอนแก่น และชลบุรี ซึ่งแสนสิริฯประสบความสำเร็จและได้รับความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริ จากการพัฒนาโครงการตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในจังหวัดต่างๆ มาแล้ว โดยในปีนี้จะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 8,500 ล้านบาท ขณะที่ กลยุทธ์ในการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ แสนสิริฯจะเน้นการเปิดตัวโครงการที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ในแต่ละทำเล เพื่อบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ แสนสิริฯจะรุกโมเดล New Sansiri Communities เพื่อต่อยอดความสำเร็จจากการปั้น “สังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ” ในแต่ละทำเลที่แสนสิริฯเข้าไปพัฒนาโครงการ ต่อยอดความสำเร็จจาก T77 และ กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ ในปีที่ผ่านมา โดยทำเลที่เตรียมพัฒนาในปีนี้ อาทิ บางนา – เลค 26รังสิต –  บางพูน, กรุงเทพ – ปทุมธานี, ราชพฤกษ์ – 346, พระราม 2 – วงแหวน, ประชาอุทิศ 90 และ เวสต์เกต

No.1 in International Market  

แสนสิริยังได้ชูความพร้อมรับปัจจัยบวก “การกลับมาของตลาดต่างชาติ” โดยวางเป้าหมายยอดขายและยอดโอนตลาดต่างชาติ ในปีนี้ไว้กว่า 12,000 ล้านบาท โตขึ้น 54% จากปีก่อน ที่มียอดขายจากตลาดต่างชาติ 7,800 ล้านบาท ตอกย้ำเบอร์หนึ่งแบรนด์อสังหาฯ ไทยในใจตลาดต่างชาติ ที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้บุกเบิกการขายอสังหาฯ ในต่างประเทศเป็นรายแรกของไทย ครองใจแบรนด์อสังหาฯ ไทยในใจตลาดต่างชาติมากว่า 10 ปี ส่งผลให้ได้รับความเชื่อมั่นในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ โดยกลยุทธ์การรุกตลาดต่างชาติในปีนี้ แสนสิริฯจะรุกตลาดในกลุ่ม CLMV (Cambodia, Laos, Myanmar, Vietnam) เพื่อขยายตลาดต่างชาติให้กว้างขึ้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% โดยเน้นเจาะตลาดคอนโดฯระดับราคา 2-5 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มทำการตลาดแล้ว จากเดิมที่ลูกค้าต่างชาตินั้น จีน ยังคงเป็นอันดับ1 รองลงมาเป็นฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และรัสเซีย ซึ่งแสนสิริฯมีฐานลูกค้าต่างชาติในกลุ่มนี้อยู่แล้ว จากการมองเห็นกำลังซื้อจากตลาดประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบประเทศไทย

Net-Zero   

ทั้งนี้แสนสิริฯยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าในพันธกิจสีเขียว โดยวางเป้าหมายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่เป็น Net-Zero องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยพันธกิจในปี 2566 แสนสิริฯกำลังเดินหน้าพัฒนา “Low Energy Community Model” โดยยกโครงการ “บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา” เป็นโครงการต้นแบบ ที่เริ่มพัฒนาบ้านด้วย Green Materials รวมทั้งติดตั้ง Solar Panel ในบ้านทุกหลัง, ติดตั้ง Solar Light บริเวณส่วนกลาง ติดตั้ง EV Charger ส่วนกลางและที่บ้าน ทดลองปลูกต้นไม้ยืนต้นและไม้พุ่มในสวนส่วนกลาง พัฒนาโดยทีมเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ หรือ “Dedicated team for Net Zero Home” นอกจากนี้ ทุกโครงการของแสนสิริฯต้องใช้พลังงานสะอาด ด้วยแผนติดตั้ง Solar Panel ในส่วนกลางของโครงการใหม่ 100% รวมทั้ง ติดตั้ง Solar Panel ในบ้านทุกหลังของโครงการใหม่ ไฟในสวนต้องเป็นไฟพลังงานแสงอาทิตย์ 100% ทุกโครงการในปีนี้ โดยวางเป้าหมายติดตั้ง 1,100 หลังในปีนี้ และอีก 1,500 หลังในปีต่อไป รวมถึงส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายติดตั้ง EV Charger ในทุกโครงการใหม่ของแสนสิริในทุกเซ็กเมนท์ โดยวางเป้าหมายติดตั้ง EV Charger 650 หลังในปีนี้ และอีก 750 หลังในปีต่อไป

อีกทั้งแสนสิริยังคงเดินหน้าต่อยอดแคมเปญดีๆ เพื่อสังคม อาทิ ZERO DROPOUT ก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 เดินหน้าสู่เป้าหมายสูงสุดในการช่วยเหลือเด็กจังหวัดราชบุรีหลุดนอกระบบการศึกษาต้องเป็น “ศูนย์” ภายในปี 2567 โดยเตรียมจับมือกับ Partner ระดับโลกเพื่อช่วยเหลือและวิเคราะห์ปัญหาเด็กหลุดนอกระบบในจังหวัดราชบุรี การสานต่อจุดยืนความเท่าเทียมปีที่ 5 หรือ LIVE EQUALLY โดยปีนี้ เตรียมขยายผลกับพาร์ทเนอร์ที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน WASTE TO WORTH แยกขยะให้เกิดประโยชน์ ที่ในปีนี้แสนสิริฯยังคงสานต่อและเดินหน้าเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย การลดขยะในครัวเรือนของลูกบ้าน โดยร่วมมือกับพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันพร้อมกระตุ้นให้ลูกบ้านและทุกคนมีส่วนร่วมในการลงมือทำจริง แยกจริง เพราะแสนสิริฯมุ่งมั่นให้ธุรกิจเติบโตควบคู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นรวมถึงคุณภาพชีวิตของคนและสังคมที่จะก้าวไปพร้อมกัน

นายวิชาญ วิริยะภูษิต
 ด้านนายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า แม้ว่าแนวโน้มต้นทุนต่างๆจะมีการปรับเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นต้นทุนก่อสร้าง ต้นทุนการบริหารจัดการ และต้นทุนดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่บริษัทฯยังมีความสามารถในการบริหารความสามารถในการทำกำไรในระดับที่ดี ซึ่งตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 35% ในปีนี้ โดยเป็นระดับที่ค่อนค้างใกล้เคียงกับปีก่อนประมาณ 31% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทมีต้นทุนที่ดินที่ค่อนข้างต่ำ จากที่บริษัทฯได้รุกการซื้อที่ดินเข้ามาในช่วงโควิด-19 ค่อนข้างมาก ทำให้การพัฒนาโครงการบนที่ดินทำเลที่ซื้อมานานแล้ว ยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี

ขณะที่ต้นทุนก่อสร้างเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาปรับขึ้นไปแล้ว 7-10% ซึ่งบริษัทฯก็ได้ปรับขึ้นราคาขายโครงการที่เปิดใหม่ในปีก่อนไปแล้ว แต่ในปี 2566 นี้ยังคงมองว่าต้นทุนก่อสร้างยังทรงตัวจากปีก่อน ทำให้การปรับขึ้นราคาขายโครงการใหม่จะดูให้สอดคล้องตามต้นทุนแต่ละโครงการ โดยเฉพาะโครงการระดับ Luxury ที่ยังสามารถปรับขึ้นราคาตามการพัฒนาสินค้าได้ และกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงพร้อมที่จะซื้อสินค้าที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน แต่กลุ่มโครงการระดับ Affordable ความสามารถในการปรับขึ้นราคาค่อนข้างจำกัด เพราะกลุ่มลูกค้าจะดูในเรื่องความคุ้มค่าของราคาเป็นหลัก ทำให้การปรับขึ้นราคาทำได้ค่อยข้างจำกัด

นอกจากนี้การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ (SG&A) ให้มีประสิทธิภาพยังคงเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ซึ่งงบในปีนี้จะปรับลดลงมาไม่เกิน 18% จากปีก่อนที่ 20% โดยส่วนหนึ่งจะมาใช้งบการตลาดลดลง หลังจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัททำการตลาดไปค่อยข้างมากแล้ว

สำหรับธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ The STANDARD สามารถสร้างรายได้เข้ามามากขึ้น หลังจากการท่องเที่ยวในประเทศไทยฟื้นตัวกลับมาดี ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรม The STANDARD 2 แห่ง คือ หัวหิน และกรุงเทพฯ โดยที่ในปีนี้จะมีเปิดอีก 1 แห่ง ในประเทศออสเตรเลีย เพิ่มเติม แต่ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ที่มาจากรายได้ประจำหรือรายได้อื่นๆของบริษัทยังมีสัดส่วนไม่มากเพียง 10% ของรายได้รวมเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าที่ดินฟรีโฮลด์ (free hold) บนถนนสารสิน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งอาคาร M.B.K. Life ของบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK ซึ่งเป็นการเช่าระยะยาวจากเจ้าของที่ดินที่ทาง MBK ไม่สามารถเปิดเผยนามได้ ที่ได้หมดสัญญาเช่าไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ที่ผ่นมา และแสนสิริฯได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจากเจ้าของที่ดิน ในราคา 3.9 ล้านบาท/ตารางวา(ตร.ว.)  คาดว่าภายใน 3-4 ปี นี้จะพัฒนาเป็นคอนโดฯระดับซูเปอร์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ระดับราคาไม่ต่ำกว่า 800,000 บาท/ตารางเมตร(ตร.ม.) ซึ่งราคาขายจะเป็น Top Pricing และเป็น Talk of the Town อย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับราคาที่ดินที่บริษัทฯซื้อมา ความคืบหน้าขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ในขณะนี้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*