เป็นเบอร์ 1 ที่อยู่อาศัยที่ให้เลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Friendly Residence) ทุกโครงการสำหรับเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งได้ยืนหยัดลงทุนในตลาดที่อยู่อาศัยมานานถึง 24 ปี ก่อนจะเว้นวรรคการเปิดตัวโครงการใหม่ๆไปถึง 2 ปี (ปี 2563-2564) หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อตั้งรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและหันมาปรับปรุงองค์กรให้สอดรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการเร่งระบายสต็อกสินค้าในมือทั้งที่อยยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จพร้อมอยู่ จนสามารถปิดการขายโครงการได้ถึง 13 โครงการ

ในปี 2566 นี้กลุ่มเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จะกลับมาบุกตลาดอสังหาฯอีกครั้งทั้งบ้านแนวราบและอาคารสูงรวม 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อปีที่มากที่สุดในรอบ 24 ปีของบริษัทและเป็นการเปิดตัวบ้านแนวราบมากที่สุดถึง 5 โครงการ

นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่พร้อมผ่าตัดองค์กรหลายๆ ด้าน เพื่อให้พร้อมรองรับการพลิกโฉมการเติบโตที่แข็งแกร่ง ทั้งการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงมาดูแลด้านการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าหรือ Customer Experience โดยตรง การปรับวิธีคิดของพนักงานให้เป็น Warrior Mindset รวมถึงได้ทยอยลงทุนด้าน Digital Transformation พัฒนา Future Platform วางรากฐานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรให้เปลี่ยนสถานะจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Developer) สู่การเป็นผู้พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิต (LifeScape Developer) อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกมิติ โดยในปี 2566 นี้บริษัทจะเดินหน้าแผนธุรกิจ LifeScape at a New Height” ผลักดันความแข็งแกร่งและศักยภาพ เพื่อการเติบโต 3 ด้านหลัก คือ Solidify Residential-Scape สร้างความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจหลัก,Fortify LifeScape & PetScape เสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้า และ Diversify Revenue ปรับสัดส่วนประเภทของธุรกิจหลัก พร้อมผลักดันความแข็งแกร่งในธุรกิจใหม่

โดยในปีนี้ได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,700 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม Super Luxury High-rise 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,800 ล้านบาท และบ้านจัดสรร 5 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 5,900 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว 5 แบรนด์ใหม่เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น ประกอบด้วย แบรนด์ Marquis  คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี ตั้งอยู่ย่านพญาไท ระดับราคาขายตารางเมตรละ 265,000 บาท

แบรนด์ Mayfield ทาวน์โฮมระดับไฮเอนด์ตั้งอยู่ที่ย่านปิ่นเกล้าและรามอินทรา ระดับราคาขาย 13.9 ล้านบาท แบรนด์ Mayfield Lane บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีราคาขาย 34-41 ล้านบาท ตั้งอยู่ย่านรัชดาฯ-ลาดพร้าว  แบรนด์ Milford ทาวน์โฮมระดับไฮเอนด์ และแบรนด์ใหม่เป็น Super Luxury Limited Edition ตั้งอยู่ย่านพัฒนาการ ระดับราคาขาย 65-100 ล้านบาท ส่วนคอนโดฯไฮไรส์อีก 1โครงการใช้ชื่อว่า  Muniq พร้อมพงษ์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 38

ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 200%จากปี 2565 ที่ทำยอดขายได้ 3,800 ล้านบาท และรายได้ 5,000 ล้านบาท โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 16 โครงการมูลค่า 31,900 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ 5โครงการมูลค่า 17,000 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 11โครงการมูลค่า 14,900 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังงมีสินค้าที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ในพอร์ตประมาณ 700 ยูนิต มูลค่า 5,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคอนโดฯ คาดว่าปีนี้จะสามารถระบายสินค้าออกไปได้ประมาณ 60-70%

สำหรับแผนการลงทุนลงทุนในอนาคต บริษัทเตรียมจะเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสในย่านอารีย์ มูลค่าโครงการประมาณ 6,000 ล้านบาท มีทั้งคอนโดฯ อาคารสำนักงานและพื้นที่รีเทล รวมทั้งจะเปิดตัวคอนโดฯแบรนด์ Maru ย่านจุฬาฯ-สามย่านด้วย

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*