ธุรกิจท่องที่ยวเริ่มกลับมาบูม ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจอสังหาฯให้เติบโต ททท.หวังตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้โต 80% ของจำนวนนีกท่องเที่ยวปี 2562 พร้อมจับจ่ายใช้สอยต่อคนเพิ่มขึ้น ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมอยู่ที่ 4,206,367 คนเพิ่มขึ้น 1,447% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และมีรายได้จากกการท่องเที่ยว 149,969 ล้านบาท

นางน้ำฝน บุณยะวัฒน์  รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังรัฐบาลประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการว่า การท่องเที่ยวฯคาดหวังว่าในปีนี้ประเทศไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 80%ของจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดนรวมของประเทศ รวมถึงการจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการจับจ่ายใช้สอยของแรงงานที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมนี้

อย่างไรก็ตาม ททท.คาดหวังว่าจะมีรายได้จากการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศของนักท่องเที่ยวมากกว่าจำนวนผู้เดินทาง เพื่อควบคุมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ แต่ต้องมีการลงทุนค่อนข้างสูงเพื่อสร้างมาตรฐานให้ลูกค้าต่างชาติยอมรับในคุณภาพสินค้าและบริการของไทย โดยในปี 2562 รายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 2,993,567.09 ล้านบาท ในจำนวนนนี้เป็นรายได้จากลูกค้าระหว่างประเทศประมาณ 1,911,808 ล้านบาท

ขณะที่ในปี 2565 ที่ผ่านมา กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักยังเป็นคนไทย  ซึ่งมีการใช้จ่ายระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่ 5,389 บาทต่อคนต่อทริป  เพิ่มขึ้น 22.04%จากปี 2564 ในจำนวนนี้เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารประมาณ 22.41% ค่าที่พักโรงแรม 21.55% และค่าของที่ระลึก 22.04%

ส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มทยอยเดินทางเข้ามาในเมืองไทย ค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในไทยเฉลี่ยอยู่ที่  38,409 บาทต่อคนต่อทริป ลดลง -10.02% โดยหากเป็นการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปจะอยู่ที่ 37,814 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่พักประมาณ 15,686 บาท และหากเป็นกรุ๊ปทัวร์ ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปจะอยู่ที่ 42,820 บาท เป็นค่าแพ็คเก็จทัวร์มากถึง33,922 บาท

แต่ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมอยู่ที่ 4,206,367 คนเพิ่มขึ้น 1,447% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และมีรายได้จากกการท่องเที่ยว 149,969 ล้านบาท โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด มาเลเซียจำนวน 520,628 คน รองลงมาเป็นชาวรัสเซีย 387,500 คน เกาหลีใต้ 324,143 คน และชาวจีน 245,790 คน

“กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มักจะให้ความนิยมกับการช็อปปิ้งและจับจ่ายใช้สอยในช้อปปิ้งมอลล์ที่กระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ของเมืองกรุงเทพฯ รวมถึงการเข้าพักแบบ AIRBNB หรือ Home Stay ที่เข้ามาแทรกตัวอยู่ในตลาดโรงแรม การรับประทานอาหารแบบสตรีทฟู๊ดส์ และการท่งเที่ยวตามย่านต่างๆ”

อย่างไรก็ตามกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในประเทศไทยหรือ Expat ถือเป็นกลุ่มคนต่างชาติที่สร้างการรับรู้ถึงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวในเมืองไทย รวมถึงตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองไทย เพราะในปัจจุบันมีกลุ่มคนต่างชาติจำนวนมากสนใจที่ย้ายมาอยู่อาศัยในเมืองหลังวัยเกษียณ ทั้งคอนโดมิเนียม และบ้านจัดสรร เพื่อหนีอากาศหนาว รวมทั้งค่าครองชีพที่ถูกกว่า ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย เช่น ธุรกิจการดูแลสุขภาพ เวลเนส ได้รับความนิยมตามไปด้วย

นายบุญ ยงสกุล ประธานกรรมการ บริษัทโบ๊ทพัฒนา จำกัด และอดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังงหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองภูเก็ตยังคงมีความต้องการต่อเนื่องทั้งคนกลุ่มซื้อและนักลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิดจนต้องประกาศปิดเมือง แต่ก็ยังมีกลุ่มนักลงทุนจากทั้งส่วนกลางและต่างประเทศที่มองเห็นโอกาสของการกลับมาฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองภูเก็ตเข้ามาเจรจาติดต่อกับเจ้าของธุรกิจในพื้นที่และการลงทุนใหม่ๆ เพราะเมืองภูเก็ตมีพื้นที่ติดกับกับจังหวัดพังงและกระบี่ ทำให้มีความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อกัน

โดยจากข้อมูลของสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ต ระบุว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงวันที่ 7 มีนาคม 2566 มีนักท่องเที่ยวจากรัสเซียเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตมากที่สุด 387,329 คน รองงมาเป็นชาวอินเดีย 116,181 คน และชาวคาซักสถาน 71,831 คน

จากเดิมก่อนเกิดการแพร่ระบบาดของโควิด เส้นเลือดหลักของนักท่องเที่ยวในภูเก็ตที่สูงถึง 80-90% เป็นคนจีน แต่หลังจากประเทศจีนสั่งล็อกดาววน์ประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปเกือบหมด ประกอบกับเมืองภุเก็ตมีการปิดการเดินทางข้ามจังหวัด ทำให้กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก หลังจากนั้นเมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด กลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทยก็เข้ามาแทนที่ตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และจนถึงขณะนี้นักท่องเที่ยวคนจีนก็ยังไม่ได้กลับมาคึกคักเหมือนเดิม

“สาเหตุที่คนรัสเซียนิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองภูเก็ตเพราะหนีอากาศหนาวและสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อ รวมถึงการเกณฑ์ทหารเข้าไปฝึกเพื่อสู้รบกับยูเครน ทำให้คนรัสเซียเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมถึงเมืองภูเก็ตตั้งแต่ 3เดือน 6เดือน ไปจนถึง 1 ปี เพราะสามารถ Work from Home ได้ นอกจากนี้ยังมีการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯด้วย”

อย่างไรก็ตามปัญหาที่จะกระบต่อการท่องเที่ยวในเมืองภูเก็ต คือ รันเวย์ของสนามบินภูเก็ตที่มีจำกัด ทำให้ไม่สามารถนำเครื่องบิน A380 มาลดจอดได้ เพระติดปัญหาเรื่องความยาวของสนามบิน ทำให้มีแผนจะขยายสนามบินแห่งที่ 2เพิ่มที่จังหวัดพังงาในปี 2570 โดยปัจจุบันสนามบินภูเก็ตสามารถรองรับเที่ยวบินได้แค่ 430 เที่ยวบินต่อวัน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวถูกจำกัดเรื่องการเดินทาง ขณะที่ปัจจุบันมีสายการบินจากยุโรปบินตรงมาที่ดูไบหรือการ์ต้าแล้วบินตรงเข้าเมืองภูเก็ตมีแค่ 2เที่ยวบินต่อวันเท่านั้น

ส่วนปัญหาด้านที่พักโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต เกิดจากจำนวนโรงแรมที่เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะบูทีคโรงแรมขนาด 3-20 ห้องที่ไม่ใบอนุญาตประกอบกิจการ ทำให้มาตรการของภาครัฐที่ออกมาไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ ทำให้ถูกปิดกิจการไปพอสมควร ขณะที่สถาบันการเงินจะตรวจสอบถึงแบรนด์ที่บริหารโรงแรม หากไม่ใช่แบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียง ทางธนาคารก็ไม่ปล่อยสินเชื่อเงินกู้ให้กับเจ้าของโรงแรม ทำให้ตลาดโรงแรมระดับลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรีจะมีมากขึ้นในจังหวัดภูเก็ต ทำให้ค่าเวอร์วิสชาร์จในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาสูงถึง 5-7 หมื่นบาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของภูเก็ตอยู่ที่วันละ 400 บาท แต่ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรยังหนักอยู่

สำหรับเทรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้นในตลาดท่องเที่ยวภูเก็ต คือ Indian Wedding ที่เลือกจัดงานในโรงแรมระดับ5ดาวอย่างน้อย 3-5 วัน รวมถึงการล่องเรือครุยส์เฉลี่ย 2ลำต่อสัปดาห์ที่มาจอดที่อ่าวป่าตอง นอกจากนี้ยังมีเรือซูเปอร์ยอร์ช ราคาเฉลี่ยตั้งแต่ 100-1,000 ล้านบาทจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในภูเก็ตประมาณ 1-2เดือน รวมทั้งสนใจเข้ามาซื้อห้องชุด โรงแรม วิลล่าในเมืองภูเก็ตด้วย ธุรกิจการดำน้ำลึกแบบไม่มีถังอ็อกซิเจน และธุรกิจบีชคลับ เป็นต้น

อีกหนึ่งตลาดที่กำลังได้รับความนิยมในภูเก็ตหลังจากที่โควิดคลี่คลาย คือ การเปิดตัวของโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้น เพราะผู้ปกครองจากประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง และจากกรุงเทพฯเริ่มส่งบุตรหลานมาเรียนในโรงเรียนนานาชาติที่ภูเก็ตมากขึ้น ล่าสุดโรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี กำลังเตรียมจะเปิดตัวที่ภูเก็ต

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*