9 บริษัทอสังหาฯปลื้มผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ยอดขาย รายได้ กำไร และกำไรสุทธิ โต-พลิกขาดทุน กว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทุกค่ายพร้อมประกาศเดินหน้าผุดโครงการคอนโดฯ,แนวราบ,อาคารสำนักงาน,โรงแรม,โรงพยาบาล,คลังสินค้า,นิคมอุตสาหกรรม และขยายฐานธุรกิจใหม่ตามแผน
นายอุทัย  อุทัยแสงสุข
SIRI ประกาศกำไรไตรมาสแรกทะลุ 1,582 ล้านบาท โต 423%
นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือSIRI  เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2566 แสนสิริมีรายได้รวมในไตรมาสแรกปี2566 อยู่ที่ 8,505 ล้านบาท โตขึ้น 63% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ผลงานมาจากรายได้จากการขายโครงการที่โดดเด่นในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย นำด้วยรายได้จากการขายคอนโดมิเนียม ที่ในไตรมาสนี้เติบโตสูงสุดถึง 217% หรือโกยรายได้ 2,717 ล้านบาท รายได้หลักมาจากโครงการเอ็กซ์ที พญาไทที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงเดือนธันวาคมของปี 2565 ที่ผ่านมา ตามด้วยโครงการเอ็กซ์ที ห้วยขวาง, โอกะ เฮ้าส์ และเอดจ์เซ็นทรัล พัทยา นอกจากนี้ ยังมีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสนี้ คือ เดอะ มูฟบางนา

ในไตรมาสนี้ แสนสิริฯยังมีรายได้จากการขายโครงการแนวราบ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและมิกซ์ โปรดักส์  โดยแชมป์รายได้จากโครงการบ้านเดี่ยว ได้แก่ โครงการนาราสิริกรุงเทพกรีฑา, โครงการบุราสิริ วัชรพล, โครงการเศรษฐสิริ จรัญ-ปิ่นเกล้า2, โครงการเศรษฐสิริพระราม 5 และโครงการสราญสิริ รังสิต

ส่วนรายได้จากการขายโครงการทาวน์โฮม เติบโตขึ้นถึง 104% โดยเฉพาะความสำเร็จในลักซ์ชัวรี่ เรสซิเดนท์แนวคิดใหม่ “เดมี สาธุ 49” พร้อมกันนี้ยังสร้างผลงานในโครงการที่อยู่อาศัยแบบมิกซ์โปรดักส์ ที่รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ในโครงการเดียว ตอบรับแนวคิดการอยู่อาศัยแบบ Feel Just Right ความพอดีที่ลงตัวภายใต้แบรนด์ “อณาสิริ” ที่ประสบความสำเร็จและสร้างรายได้ที่โดดเด่นต่อเนื่องในปีนี้เช่นเดียวกัน อาทิ โครงการ อณาสิริ บางใหญ่,โครงการอณาสิริ กรุงเทพ-ปทุมธานีและโครงการอณาสิริ ติวานนท์ – ศรีสมาน เป็นต้น

นอกจากรายได้ที่โดดเด่นในทุกโปรดักส์แล้ว กำไรขั้นต้นจากการขายโครงการที่อยู่อาศัยยังคงสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ประกอบกับในไตรมาสนี้ แสนสิริมีการบันทึกกำไรจากการขายกิจการโรงเรียนสาธิตพัฒนา และการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2566 เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยแสนสิริมีกำไรสุทธิ1,582 ล้านบาท เติบโตโดดเด่นขึ้นถึง 423% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรสุทธิสูงถึง 18.6% ของรายได้รวม ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 5.8 ของรายได้รวมในไตรมาสแรกของปี 2565 สำหรับไฮไลท์ของไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ แสนสิริยังเตรียมเปิดตัวโครงการ “นาราสิริ พหล – วัชรพล”ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่  ในราคา 35 – 70 ล้านบาท เตรียมเปิดตัววันที่ 24 – 25 มิถุนายน 2566 นี้

อีกทั้งแสนสิริยังคงรุกเดินหน้าต่อเพื่อรองรับแผนการเติบโตในปี 2566 เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ โดยหุ้นกู้ที่จะเสนอขายครั้งนี้เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปสำหรับหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยระหว่าง [4.00-4.10]% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยระหว่าง [4.45-4.55]% ต่อปี ผ่าน 10 สถาบันการเงินได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารทหารไทยธนชาต บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทยเอ็กซ์สปริง และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) โดยหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง

โดยหุ้นกู้และบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต“คงที่ (Stable)” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 และคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 1–2 และ 6 มิถุนายน 2566 นี้ ด้วยเงินจองซื้อขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 1,000 บาท เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของแสนสิริ ที่เป็นแบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะการพัฒนาที่อยู่อาศัยเท่านั้น แสนสิริยังมองถึงความสำคัญในด้านการลงทุนที่ต้องทั่วถึงและเท่าเทียมกัน โดยการระดมทุนเพื่อรุกเดินหน้าธุรกิจในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในแผนธุรกิจที่คาดว่าจะทำให้แสนสิริสร้างผลประกอบการเป็น New High ได้ต่อเนื่องจากปีก่อน

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ 

PSH โชว์กำไรสุทธิรวมโต 18%-รายได้จากธุรกิจอสังหาฯแตะ 6,030 ล้านบาท

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกปี 2566 เติบโตทั้งธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจเฮลท์แคร์ตามแผนที่ได้แถลงไว้เมื่อต้นปี และการบริหารต้นทุนและการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิ 652 ล้านบาท เติบโต 18% มีรายได้รวม 6,598 ล้านบาท เติบโต 10% ทำอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นที่ 32.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 29.7% และยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net gearing ratio) ต่ำที่ 0.25 เท่า

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้ 6,030 ล้านบาท เติบโต 6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 จากการโอนคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2565 อย่างต่อเนื่อง 6 โครงการ และมียอดขาย 4,466 ล้านบาท ซึ่งการเปิดขายโครงการ แชปเตอร์ วัน ออล รามอินทรา ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สร้างกระแสตอบรับจากลูกค้าไทยและต่างชาติได้เป็นอย่างดี ทำยอดขายไปได้ราว 50%

สำหรับในไตรมาส 2  มีแผนเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 5,910 ล้านบาท  แบ่งเป็นแนวราบ 4 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 2 โครงการ คาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา โดยภาพรวมพอร์ทโฟลิโอสินค้า ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 จะเพิ่มสัดส่วนสินค้าในกลุ่มพรีเมียมมากขึ้นกว่า 40% ของมูลค่าโครงการที่จะเปิดในไตรมาสดังกล่าว

ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ รายได้ของกลุ่มวิมุตในไตรมาสแรก ปี 2566 มูลค่า 412 ล้านบาท เติบโตขึ้น 69% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา ส่งผลมาจาก (1) รายได้จากการบริการทางการแพทย์ของ รพ. วิมุต รวมกว่า 186 ล้านบาท โดยเป็นรายได้ที่ไม่รวมโควิดเติบโตขึ้นกว่า 90% และจำนวนผู้ป่วยนอกที่เข้ารับการรักษาสูงขึ้น 34% มีการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนขึ้น และมีจำนวนคนไข้ต่างชาติสูงขึ้นเป็นเกือบ 10% และ (2) เมื่อรวมกับรายได้จากโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมา มีรายได้กว่า 226 ล้านบาท

นายพีระพงศ์ จรูญเอก

ORI ปลื้มยอดโอนทะลุ 4,430 ล้าน เติบโต 31% 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 (ม.ค.-มี.ค.2566) บริษัทมียอดโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรรวมทั้งสิ้นกว่า 4,430 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 31% รวมโครงการที่อยู่ภายใต้กิจการร่วมค้า (JV) ที่ทยอยสร้างเสร็จและรับรู้รายได้แล้วกว่า 2,279 ล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงการร่วมทุนที่บริษัททยอยสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง  สำหรับโครงการที่สร้างยอดโอนกรรมสิทธิ์อย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 1/2566 คือกลุ่มโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 และยังคงทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปีนี้ รวมถึงโครงการสร้างเสร็จใหม่ในไตรมาส 1/2566

ขณะเดียวกัน บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 798 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 8% มาจากทั้งกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย และการเติบโตของกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ในเครือ อาทิ ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) ที่เปิดดำเนินงานแล้วจำนวน 5 โครงการในปี 2565 และมีโครงการก่อสร้างเสร็จใหม่ และทยอยรับรู้รายได้เป็นครั้งแรกอีก 1 โครงการ จำนวนห้องพักรวม 411 ห้อง ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีทส์ แบงค็อกสุขุมวิท (Staybridge Suites Bangkok Sukhumvit) ภายใต้บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน)

นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถปิดดีลร่วมทุนพัฒนาโครงการใหม่กับภาคเอกชนและเจ้าของที่ดิน(Landlord) ทั้งในกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม โรงแรม และคลังสินค้า รวม 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 16,515 ล้านบาท (รวมมูลค่า REIT ประมาณการณ์ของโครงการโรงแรมและคลังสินค้า) แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ บ้านจัดสรร 6 โครงการ โรงแรม 2 โครงการ และคลังสินค้า 2  โครงการ โครงการส่วนใหญ่เป็นการวางรากฐานสู่อนาคต โดยการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน (Landlord) ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการมีที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในหลายจังหวัดหัวเมืองใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทจะขยายการพัฒนาโครงการต่างๆ ไปทั่วประเทศไทย โดยมีแผนพัฒนาโครงการในปี 2566 – 2568

ทั้งนี้ บริษัทยังมียอดรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 ที่แข็งแกร่ง คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 44,221 ล้านบาท โดยเป็นยอดจากทั้งกลุ่มโครงการ JV และ Non-JV ที่จะทยอยรับรู้ในปี 2566 อีกประมาณ 17,253 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เกิดขึ้นแล้วในช่วงไตรมาส 1/2566 จะส่งผลให้บริษัทมียอดโอนกรรมสิทธิ์รออยู่แล้วกว่า 72% ของเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ 30,000 ล้านบาท เมื่อประกอบกับความแข็งแกร่งของธุรกิจในเครือที่มีการกระจายพอร์ตออกสู่หลากหลายธุรกิจ ไม่เพียงเฉพาะธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทจึงมั่นใจว่าผลประกอบการในปี 2566 นี้ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

นายธงชัย บุศราพันธ์ 

NOBLE อวดยอดพรีเซลแตะ 4,402 ล้านบาท

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE กล่าวว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2566 จากภาพรวมของความมั่นใจที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากสถานการณ์ของโรคระบาดคลี่คลาย โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 2,135 ล้านบาท เติบโต 43% YoY และกำไรสุทธิอยู่ที่ 73 ล้านบาท เติบโต 1,195% YoY สาเหตุหลักมาจากมีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2565 ที่มากขึ้น เช่น โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 โครงการนิว ศรีนครินทร์–ลาซาล โครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ โครงการนิว งามวงศ์วาน และโครงการนิว เซ็นเตอร์ บางนา เป็นต้น รวมถึงมีรายได้จากการให้บริการและบริหารงานก่อสร้าง และมีรายได้อื่นจากการยกเลิกสัญญาและรายได้จากการบริหารโครงการ (Management Fee) ที่เพิ่มมากขึ้นจากโครงการร่วมทุน

โดยในช่วงไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มียอดขายรวม (Pre-sale) แตะ 4,402 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าพร้อมขาย (Inventory) จำนวน 1,060 ล้านบาท และเป็นยอดขายจากสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและโครงการใหม่จำนวน 3,342 ล้านบาท สอดคล้องกับภาพรวมของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมา ส่งผลดีต่อ Sentiment ทั้งลูกค้าในกลุ่มที่เป็นซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real demand) และลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน

ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วจำนวน 2 โครงการมูลค่าโครงการรวม 3,800 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการนิว คอร์ คูคต สเตชัน มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม Low-Rise 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร ซึ่งตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ลำลูกกาและติดสถานีรถไฟฟ้า และ 2.โครงการนิว ไฮบ์ สุขสวัสดิ์ มูลค่าโครงการ1,600 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ รวมจำนวนยูนิต 156 ยูนิต ซึ่งทั้ง 2 โครงการดังกล่าวได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากรูปแบบโครงการรวมถึงทำเลที่ตั้งสามารถดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 ในมือรวมมูลค่า 22,396 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยรับรู้ภายใน 2-3 ปี

อย่างไรก็ตามจากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ ประกอบกับ Backlog ที่มีในมือ รวมถึงโครงการแนวราบที่จะทยอยเปิดตัวในปี 2566 ส่งผลให้บริษัทฯ เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อทิศทางการ ดำเนินงานในปี 2566 อย่างมีนัยสำคัญ โดยจะเห็นการเติบโตของรายได้รวมที่ระดับ15,000 ล้านบาท และยอดขายที่ระดับ 23,000 ล้านบาทตามเป้าที่วางไว้

นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์

SC กวาดรายได้รวม 4,930 ล้านบาท และกำไร 535 ล้านบาท

นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสทคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรก บริษัทมีรายได้รวม 4,930 ล้านบาท โดยมาจากรายได้จากการดำเนินงาน 4,922 ล้านบาท เติบโต 29% (YoY) แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 95% และรายได้จากการเช่าและบริการ 5% มีกำไรสุทธิ 535 ล้านบาท เติบโต 38% (YoY) หรือคิดเป็น 10.8 % ของรายได้รวม และมียอดขายรอโอนหรือBacklog รวม 10,932 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 บริษัท และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์58,585 ล้านบาท และหนี้สินรวม 36,251 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 1.62 แสดงถึงสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง

ตามยุทธศาสตร์ของ SC Thriving Beyond บริษัทลุยเปิด 25 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท ตามแผนงานปี 2566 แบ่งเป็น 22 โครงการแนวราบ และ 3 โครงการแนวสูง (โดย SC และ SCOPE)  สำหรับครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการเปิดใหม่ ทั้งหมด 9 โครงการ ซึ่งได้เปิดตัวแนวราบไปแล้ว 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,440 ล้านบาท ได้แก่ บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ เวสต์เกต และ เดอะ เจนทริ คัลทิวาร์ พระราม 9

ทั้งนี้ยังมี 2 แบรนด์ใหม่ “95E1” (ไนน์-ตี้-ไฟว์-อีสต์-วัน) บ้านเดี่ยวสุดหรูในเซกเมนต์ Ultimate Luxury ด้วยราคาเริ่มต้น 100 ล้านบาท จำกัดเพียง 10 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาทและคอนโดมิเนียม  นิวแบรนด์ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ บนทำเล รัชดา-พระราม 9 ใกล้ MRT ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย มูลค่าโครงการ 5,500 พันล้านบาท ราคาเริ่ม 2 ล้านต้น ซึ่งเป็นเซกเมนต์ใหม่ พร้อมเปิดในเดือนมิถุนายนนี้

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า  ในปีนี้ บริษัทฯจะมีสินค้า เปิดขายในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ล้านบาทต้นๆ ไปจนถึงกว่า 150 ล้านบาท ด้วยการเปิดตัวสินค้าซีรีส์ใหม่ของแต่ละซับแบรนด์ เพื่อลงแข่งขันครองความเป็นผู้นำบ้านเดี่ยว ประกอบกับ ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 มีแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ ส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในธุรกิจอสังหาฯจึงมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน

นายธนพล ศิริธนชัย 

FPT ปิดงบครึ่งปีแรกสวย เดินเกมบุกตลาดบ้านลักชัวรี่ต่อเนื่อง

นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT กล่าวว่า ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565-มีนาคม 2566) มีรายได้รวมอยู่ที่ 7,130 ล้านบาท กำไรสุทธิ 635 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2566 (มกราคม – มีนาคม 2566) มีรายได้รวม 3,424 ล้านบาท กำไรสุทธิ 318 ล้านบาท โดยธุรกิจเติบโตตามแผนงานที่วางไว้ในการบาลานซ์พอร์ตโฟลิโอทั้งรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ และกระแสรายได้จากค่าเช่าที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างสมดุลให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

แรงขับเคลื่อนธุรกิจมาจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมที่เติบโตต่อเนื่อง ในครึ่งปีแรก (ตุลาคม 2565 – มีนาคม 2566) สามารถสร้างรายได้จากค่าเช่าและบริการได้ถึง 1,350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาส 2 ธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่ามีจำนวนลูกค้าใช้บริการอย่างหนาแน่นสามารถสร้างอัตราการเช่าได้สูงถึง 86% ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากดีมานด์พื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นของลูกค้ากลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่ธุรกิจขยายตัว และนักลงทุนต่างชาติที่ย้ายฐานการผลิตมาไทย รวมถึงมีรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศทั้งโครงการโลจิสติกส์พาร์คในประเทศอินโดนีเซียและประเทศเวียดนามที่สามารถรักษาอัตราการเช่าไว้ในระดับสูงเช่นกัน ทั้งนี้เตรียมส่งมอบอาคารคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) แห่งใหม่ในไตรมาส 3 ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยรวม 19,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในโครงการเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้โลจิสติกส์ พาร์ค (วังน้อย 2) จังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่เพิ่งแล้วเสร็จ


กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมในส่วนของอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอ สามารถรักษาอัตราการเช่าไว้สูงถึง 92% และมีรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากโครงการมิกซ์ยูสสีลมเอจที่เติมเข้ามาในพอร์ตฯ อีกทั้งยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เช่า ขณะที่ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์มีการจัดกิจกรรมการตลาดและอีเวนต์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มทราฟฟิกได้เป็นอย่างดี ด้านธุรกิจโรงแรมได้รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดี ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้นในฤดูกาลแห่งการท่องเที่ยว

ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยสร้างรายได้จากการขายในครึ่งปีแรก (ตุลาคม 2565 – มีนาคม 2566) 4,983 ล้านบาท ด้วยการเปิด 5 โครงการทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม มูลค่ารวม8,869 ล้านบาท ซึ่งเดินหน้าขยายตลาดบ้านระดับลักชัวรี่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 2 มีการเปิดตัวโครงการ The Royal Residence บ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ราคาจำหน่าย 80 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่ครึ่งปีหลัง (เมษายน – กันยายน 2566) มีแผนเปิดตัวอีก 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยวระดับบนเจาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง ทาวน์โฮมในระดับราคาที่เอื้อมถึง และคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ารองรับกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ซึ่งเตรียมจะเปิดตัวเป็นครั้งแรก

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์

S เดินหน้าขยายธุรกิจตามเป้า มั่นใจรายได้ปี 66 สูงกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 1 ปีนี้ สะท้อนให้เห็นสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนของธุรกิจโรงแรม โดยโรงแรมทุกแห่งสามารถกลับมาให้บริการแก่นักท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ ส่งสัญญาณต่อผลประกอบการที่จะเติบโตต่อเนื่องในไตรมาสถัด ๆ ไป โดยมีความมั่นใจว่าจะสามารถขับเคลื่อนรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปีรวม 16,700 ล้านบาทซึ่งโดยหลักจะมาจากการเติบโตของกลุ่มโรงแรมมากกว่า 10,000 ล้านบาท

เสริมทัพด้วยรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย หนุนด้วยดีมานด์ของโครงการ Ready-to-move-in ของคอนโดมีเนียม ที่จะฟื้นตัวตามการเปิดพรมแดนทั่วโลก ซึ่งพร้อมจะช่วงชิงโอกาสดังกล่าว ด้วยการขยายสัดส่วนการถือครองโครงการThe ESSE Sukhumvit 36 ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการดังกล่าวเต็ม 100% โดยบริษัทฯ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญในการหนุนผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 – 3 ของปีนี้ ผนวกกับไตรมาสสุดท้ายของปี จะได้รับยอดโอนจากโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว ซึ่งเราคาดหวังความสำเร็จเช่นเดียวกับโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซสซึ่งได้รับการยอมรับจากกลุ่มลูกค้าอย่างดีและสามารถสร้างผลประกอบการได้อย่างยอดเยี่ยมในปี 2565 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบและจะเพิ่มความหลากหลายของที่อยู่อาศัยทั้งในแง่ของทำเลที่ตั้งและฐานลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น โดยในปี 2566 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการแนวราบรวม 5 โครงการ ซึ่งมีมูลค่ารวมหมื่นล้านบาท พร้อมตั้งงบในการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการเปิดตัวโครงการต่อเนื่องปีละอย่างน้อย 4 โครงการ เพื่อผลักดันรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัยให้เติบโตที่ระดับ CAGR 20% เฉลี่ยภายในปี 2568

อีกทั้งบริษัทฯยังจะสร้างความแตกต่างของโครงการแนวราบของสิงห์ เอสเตท บนพื้นฐานกลยุทธ์ Speed to market เน้นโครงการที่เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง นำเสนอความ Exclusive ด้วยขนาดโครงการที่เหมาะสม มีความเป็นส่วนตัวด้วยลักษณะโครงการ Cluster Homeซึ่งจะเปิดตัวโครงการ Flagship project ที่มีราคาเริ่มต้นที่หลังละ 550 ล้านบาท ในรูปแบบ Private Estate บนทำเลใจกลางสุขุมวิทและเตรียมพัฒนาโครงการถัดไปในย่านรามอินทรา ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ที่ราคาเริ่มต้น 100 ล้านบาท

สำหรับอีก 2 ธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ที่จะสร้างการเติบโตของผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญในปี 2566 นี้ ได้แก่

(1) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ที่จะรับรู้ยอดรายได้เต็มปีของอาคาร S-OASIS ซึ่งมีพื้นที่เช่ามากกว่า 53,000 ตารางเมตร ที่พึ่งเปิดตัวไม่นานมานี้ โดย ณ ปัจจุบัน ได้รับความสนใจเป็นอย่างดี และมีผู้เช่าหลักหลักเข้ามาทำสัญญาเช่าแล้วเกือบ 9,000 ตารางเมตร

(2) ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ที่มียอดโอนที่ดินสะสมจำนวน 87 ไร่ โดยพื้นที่ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 900 ไร่จะทยอยพัฒนาและโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า ซึ่งเราคาดหวังว่ายอดขายที่ดินจะเร่งตัวขึ้นในปี 2566 สอดคล้องกับความคืบหน้าในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า 2 แห่งในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักดันผลกำไรของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายกรณ์ ณรงค์เดช

RML ปลื้มยอดขาย-ยอดโอนคอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่พุ่ง

นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML กล่าวว่า ในไตรมาส 1 ปีนี้  บริษัทฯ มีผลงานที่ดี เนื่องจากทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการ  “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” โดยสิ้นไตรมาสแรก ยอดโอนดีเกินคาด ส่วนยอดขายกวาดไปแล้วกว่า 85%* อีกทั้ง “เทตต์ สาทร ทเวลฟ์”โกยยอดขายแล้วถึงประมาณ 90%* รวมถึงบริษัทฯ ยังมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ในอาคารสำนักงานเกรดเอ ระดับลักชัวรี่ อย่าง “โอซีซี”(วันซิตี้ เซ็นเตอร์)ที่เป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดแห่งหนึ่งในขณะนี้ โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่รีเทลรวมถึงความสนใจจากลูกค้าแล้วประมาณ 70%* ตอกย้ำแบรนด์ RML ที่ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้วางใจ ในขณะเดียวกัน ปีที่ผ่านมาจวบจนถึงปีนี้ บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนทางการเงินได้ดี จากกลยุทธ์แอสเสท ไลท์ (Asset light) ที่ไม่ต้องซื้อที่ดิน แต่ใช้ที่ดินของเจ้าของที่ดิน ในการพัฒนาโครงการ ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าที่ดินและต้นทุนทางการเงินจากการพัฒนาโครงการในอนาคต สร้างเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 บริษัทฯ จะมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนธุรกิจที่วางไว้ เพื่อให้บริษัทฯ มีรากฐานทางการเงิน ที่แข็งแกร่ง และก้าวเข้าสู่แบรนด์อันดับ 1 ที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาฯ ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่

บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 จำนวน 4,959* ล้านบาทลดลงจาก 4,965 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565  สืบเนื่องมาจากการทยอยโอนการกรรมสิทธิ์ของโครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ ที่เริ่มโอนตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2565

นายบุญ ชุน เกียรติ 

CHEWA โชว์งบ Q1/66 กำไรโตต่อเนื่อง

นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA กล่าวว่าผลการดำเนินงานในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566  บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 384.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน 25.2 % โดยรายได้จากโครงการคอนโดมีเนียม จำนวน216.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 12.8 % ส่วนรายได้จากโครงการแนวราบจำนวน 98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 46.6 % มีรายได้อื่นๆ จํานวน 12.5 ล้านบาท คิดเป็น 3.2 % ของรายได้รวม ทำให้การดำเนินงาน 3 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,177.5 % จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ที่บริษัทมีกำไร 0.08 ล้านบาท

ด้านแผนการลงทุนและเปิดโครงการใหม่ของบริษัทฯ หลังจากการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 1 โครงการ คือโครงการ ชีวารมย์ นิว ราชพฤกษ์ อยู่บริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ (ถนนหมายเลข 346) มูลค่าโครงการประมาณ 687 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 ไปก่อนหน้านี้แล้ว บริษัทฯกำลังศึกษาที่ดินเพิ่มเติมอีก 2 แปลง ตามแผนหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติมที่เคยแถลงไปก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายซื้อเพิ่ม 7 โครงการภายในปี 2566 มูลค่าโครงการรวม 6,350 ล้านบาท ( วงเงินค่าที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการประมาณ  1,700 ล้านบาท)  เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท , โครงการคอนโดมิเนียมตึกสูง แบรนด์ชีวาทัย 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท , โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัยฮอลล์มาร์ค ไลท์  1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท , บ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 2 โครงการมูลค่า 1,500 ล้านบาท และทาวน์โฮมแบรนด์ชีวาโฮม 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท, โครงการบ้านมือสอง จากชีวารีนิว จำนวน 350 ล้านบาท และบริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*