แอล.พี.เอ็น.ฯเดินหน้าผลักดันเป้าหมายการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะมิติของสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่กระบวนการออกแบบ ก่อสร้าง รวมถึงการดูแลการอยู่อาศัย สอดคล้องแผนธุรกิจปี 66 มุ่งลดการใช้พลังงานไฟฟ้าต่อเนื่อง ตั้งเป้าติดตั้งโซล่าเซลล์เพิ่มในโครงการบ้านเดี่ยวทาวน์โฮม  กว่า 847 ยูนิต ในทุกระดับราคา รวมถึงสำนักงานขายพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์LPN หวังยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและประโยชน์สูงสุดของลูกบ้านทุกโครงการ
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯมีความตั้งใจลดการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยการติดแผงโซล่าเซลล์เพิ่มขึ้นภายในพื้นที่ส่วนกลาง และสำนักงานขายทั้งโครงการเก่าและใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจากสถานการณ์สงครามข้ามปีระหว่างรัสเซียยูเครนยังเป็นปัจจัยเร่งให้พลังงานทางเลือกมีการเติบโตมากขึ้น และยังคงส่งผลให้แนวโน้มค่าพลังงานปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด อีกทั้งส่งผลกระทบโดยตรงกับค่าไฟฟ้าที่ผันผวนในประเทศไทย รวมถึงข้อสรุปจากวาระโลก COP27 และ APEC2022 ซึ่งยังคงเน้นย้ำเรื่อง Net-Zero ในทุกภาคส่วนทั่วโลก

บริษัทฯจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องช่วยกันเร่งแก้ลดมลภาวะโลกให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ รวมถึงการจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ การดูแลบริหารจัดการทรัพยากร ตลอดจนการลดและจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ทำให้บริษัทฯได้เร่งและปรับแผนการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการที่อยู่อาศัยด้วย โดยคัดเลือกการใช้แผงโซล่าเซลล์คุณภาพที่ผ่านการรับรองให้ใช้ในประเทศไทย และรับประกันประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าในระดับสูง โดยที่ผ่านมา บริษัทฯมีการเก็บข้อมูลโดยบริษัท แอล.พี.พี พร๊อพเพอร์ตี้ เมเนจเม้นท์ จำกัด จากการติดตั้ง Solar Rooftop ในพื้นที่ส่วนกลางคอนโดมิเนียม ซึ่งสามารถลดการใช้พลังงานได้มากถึง 15 – 20 % หรือลดภาระค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าในพื้นที่ส่วนกลางได้ประมาณ 30,000 – 50,000 บาท / เดือน / โครงการ

ปัจจุบัน นอกจากการรณรงค์การใช้พลังงานทดแทนด้วยการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์แล้ว บริษัทฯยังนำมาตรฐานทางสุขภาวะระดับสากลอย่าง WELL (WELL Building Standard) มาปรับใช้ในการออกแบบให้ส่งเสริมคุณภาพการอยู่อาศัยทั้งกายและใจที่ดีอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางของ LPN Green Design Concept Standard ได้แก่ การพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน (Sustainable Site Development), การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ (Water Efficiency), การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency), การเลือกใช้วัสดุและทรัพยากรประกอบอาคาร (Material and Resource) และการส่งเสริมสภาวะแวดล้อมที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย (Indoor Development Quality)  ซึ่งทั้งหมดได้พัฒนาขึ้นด้วยความตั้งใจส่งมอบความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัยให้แก่ลูกบ้านทุกกลุ่มเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของการใช้ชีวิต และเพิ่มคุณค่าของการอยู่อาศัยอย่างดีที่สุด

โดยเร็วๆ นี้ บริษัทฯยังเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่พาร์ค 168 นพรัตน์ รามอินทรา(PARK 168 Nopparat Ramindra) ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมใหม่ภายใต้แนวคิด “Nordic well-being philosophy” ซึ่งได้รับการออกแบบพื้นที่พักอาศัยเป็นพิเศษ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่9,000 ตารางเมตร(ตร..)เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของการอยู่อาศัยแบบ Well – Being ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท โดยจะเปิดให้เข้าชมรอบ VIP ครั้งแรกในวันที่ 28 พฤษภาคม นี้สำหรับย่านรามอินทรายังเป็นพื้นที่ศักยภาพสูงในการลงทุน เพราะมีแนวโน้มราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงถึง 25-30% จากเดิม 95,000 -100,000 บาทต่อตารางวา โดยปัจจุบันมีราคาขยับอยู่ที่125,000 บาทต่อตารางวา นับว่าจะเป็น New CBD ที่ได้รับความนิยมจากการเชื่อมต่อถนนสายหลักและรองมากมาย รวมถึงใกล้รถไฟสายสีชมพู จึงทำให้ความต้องการที่พักอาศัยในย่านนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึงปีละ 600 – 800 ยูนิตทีเดียวนายโอภาส กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตั้งเป้าหมายในการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Carbon Neutral Organization) และซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดขององค์กร และได้รับเครื่องหมายฉลากคาร์บอน 2 ประเภท รวมทั้งการทยอยติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ในทุกโครงการ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*