ชาญอิสสระฯเผยรูปแบบตลาดที่อยู่อาศัยเปลี่ยน ผู้บริโภคหันซื้อเพื่อลงทุนสร้างผลตอบแทนระยะยาว ผู้ประกอบการสามารถกระจายความเสี่ยงด้านการเงิน ล่าสุดผนึก วี บียอนด์–ไอเอฟซีจี คัดสรรห้องชุด 2 โครงการหัวเมืองท่องเที่ยว “บลู ไดมอนด์”และ “ดิ อิสสระ เชียงใหม่”ขยายฐานนักลงทุนรายใหญ่–รายย่อย คาดช่วยดันยอดขายเพิ่มขึ้น 10%
นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ CI เปิดเผยว่า ปัจจุบันรูปแบบตลาดที่อยู่อาศัยเร่ิมเปลี่ยนไป นอกเหนือจากการซื้อเพื่ออยู่อาศัยแล้ว ปัจจุบันยังสามารถซื้อเพื่อการลงทุนได้อีกด้วย ซึ่งจะสามารถทำให้บริษัทฯมีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆที่เป็นนักลงทุนเพิ่มขึ้น และสามารถกระจายความเสี่ยงด้านการเงินได้อีกด้วย
ล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านนายหน้า และบริษัท ไอเอฟซีจี จำกัด ดำเนินธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในการขยายช่องทางการขายโครงการของบริษัทฯผ่าน 2 บริษัทพันธมิตรดังกล่าว เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งทางวี บียอนด์ และไอเอฟซีจี มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว โดยเบื้องต้นเป็นการนำ 2 โครงการของบริษัทฯ คือ โครงการ “บลู ไดมอนด์” จำนวน 30-40 ยูนิต และโครงการ “ดิ อิสสระ เชียงใหม่” จำนวน 100 ยูนิต ที่คัดสรรยูนิตที่ดีและมีคุณภาพมาขายให้กับลูกค้าผ่านช่องทางของพันธมิตรทั้ง 2 ราย
สำหรับโครงการ “บลู ไดมอนด์” เป็นโครงการที่ทาง CI ร่วมทุนกับบริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) และบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน) ก่อตั้งบริษัท ร่วมอิสสระจำกัด ขึ้นมาพัฒนาโครงการดังกล่าว ตั้งอยู่ที่อ.ชะอำ บนพื้นที่ 7 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯสูง 21 ชั้นจำนวน 1 อาคาร พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 30.20-64.28 ตารางเมตร รวม 491 ยูนิต ราคาเร่ิมต้นที่2.19-6.6 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,506 ล้านบาท
ส่วนโครงการ “ดิ อิสสระ เชียงใหม่” พัฒนาในนามบริษัท ชาญอิสสระวิภาพล จำกัด บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯสูง 7 ชั้น 2 อาคาร พื้นที่ใช้สอย 35-70 ตารางเมตร จำนวน 265 ยูนิต ราคาเร่ิมต้นที่ 2.69-6.19 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 685 ล้านบาท
“การร่วมมือกันในครั้งนี้ยังเป็นการเจาะกลุ่มนักลงทุน ซึ่งทางวี บียอนด์ และไอเอฟซีจี มีฐานลูกค้ากลุ่มนักลงทุนอยู่แล้ว ซึ่งทางพันธมิตรทั้ง 2 ราย มีโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่จะเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าของพันธมิตรทั้ง 2 รายอยู่แล้ว ทำให้มีความน่าสนใจในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น และช่วยขับเคลื่อนการขายให้กับบริษัท โดยไม่เป็นการขายแข่งกันหรือแย่งลูกค้าค้ากันซึ่งการร่วมมือกับพันธมิตรทั้ง 2 ราย จะมีส่วนช่วยทำให้ยอดขายโครงการของบริษัทเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 10%”นายสงกรานต์ กล่าว
ด้านนายวรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ชาญอิสสระฯเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียง ทำให้บริษัทมีความมั่นใจในการร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อนำโครงการของชาญอิสสระฯมานำเสนอและขายให้กับลูกค้าของวี บียอนด์ ผ่านแพลตฟอร์ม ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายย่อยได้ในวงกว้างและสามารถช่วยชาญอิสสระฯในด้านงานขายได้อย่างดี
โดยผลตอบแทนที่บริษัทจะได้รับแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.ค่าคอมมิชชั่นจากการเป็นนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงที่โครงการอยู่ระหว่างพรีเซล ซึ่งมีการนำเสนอโครงการให้กับลูกค้าของวี บียอนด์ฯ และ 2.กำไรส่วนต่างจากราคาขาย ในส่วนของโครงการที่พร้อมอยู่ ซึ่งเป็นโครงการที่วี บียอนด์ฯซื้อเข้ามาขายต่อให้กับลูกค้าในแพลตฟอร์มของวี บียอนด์ฯทำให้การร่วมมือกับชาญอิสสระฯสามารถร่วมกันทำงานในธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในการเข้ามาซื้อด้วยเช่นกัน
นายวิทูร เลิศพนมวรรณ บริษัท ไอเอฟซีจี จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือกับชาญอิสสระฯ ถือว่าเป็นโอกาสในการที่ไอเอฟซีจีได้นำโครงการที่มีคุณภาพ มีชื่อเสียง และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี มานำเสนอกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไอเอฟซีจี ปัจจุบันฐานลูกค้ารายใหญ่ประมาณ 50,000 ราย ซึ่งเกือบ 100% เป็นคนไทยเกือบทั้งหมด โดยที่การนำโครงการของชาญอิสสระฯเข้ามาร่วมไนการขายนั้น จะช่วยในการสร้างผลตอบแทนให้กับไอเอฟซีฯได้ 7-8%
ขณะเดียวกันจากชื่อเสียงของชาญอิสสระฯในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศียและโรงแรมในหัวหินและภูเก็ต จะช่วยให้ไอเอฟซีฯสามารถต่อยอดในการขยายฐานลูกค้าต่างชาติได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายของไอเอฟซีที่ต้องการเพิ่มลูกค้าต่างชาติเข้ามาในปี 2566 นี้โดยจะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าจีนรัสเซีย ญี่ปุ่น และยุโรป เป็นต้น