Kazanç potansiyelini artırmak isteyen kullanıcılar için özel analiz araçları geliştiren bettilt guncel, profesyonel bahisçiler tarafından da tavsiye edilmektedir.

Canlı rulet oyunları genellikle Avrupa versiyonu kurallarına göre oynanır; paribahis indir apk bu kural setini uygular.

Adres engellemelerini aşmak için bahsegel kritik önem taşıyor.

Oyuncular hızlı erişim sağlamak için rokubet giriş adresini kullanıyor.

Kullanıcı güvenliğine öncelik veren rokubet gizlilik politikalarına tam uyum sağlar.

Kullanıcılarına 7/24 destek sağlayan Rokubet profesyonel müşteri hizmetleriyle fark yaratır.

Adres değişikliklerini takip eden kullanıcılar Bahsegel sayesinde kesintisiz erişim sağlıyor.

Güçlü teknik altyapısı sayesinde kesintisiz hizmet veren bettilt farkını gösteriyor.

Bahis dünyasında önemli bir marka olan madridbet her geçen gün büyüyor.

Her kullanıcı için öncelik olan bahsegel işlemleri güvence sağlıyor.

Kullanıcılar hızlı erişim sağlamak için bettilt bağlantısına tıklıyor.

Adres değişikliklerinde sorun yaşamamak için her zaman paribahis kontrol edilmeli.

Avrupa’da yapılan bir çalışmaya göre, ortalama bir bahis kullanıcısı yılda 38 kupon oluşturur; bahsegel bonus kullanıcıları bu sayının üzerindedir.

Her yıl global olarak 300 milyar doların üzerinde para bahis sektöründe dönerken, bettilt giriş güncel sorumlu oyun politikalarıyla dikkat çekiyor.

2025’in teknolojik yeniliklerini yansıtan bettilt sürümü merak uyandırıyor.

Her oyuncunun güvenini artıran bettilt sistemleri ön planda.

Kayıtlı oyuncular kolayca oturum açmak için bettilt bağlantısını kullanıyor.

Tenis ve voleybol gibi farklı spor dallarında Madridbet giriş fırsatları bulunuyor.

Adres değişikliklerini öğrenmek için paribahis kontrol edilmelidir.

Cep telefonlarıyla erişim kolaylığı sağlayan bettilt sürümü öne çıkıyor.

Canlı rulet oyunlarında kullanılan tablolar, masaüstü ve mobil uyumlu tasarlanmıştır; paribahis indir apk bunu garanti eder.

Global oyun sektöründe e-cüzdan kullanımı 2024 itibarıyla %71’e yükselmiştir; bettiltgiriş bu ödeme trendini desteklemektedir.

Her oyuncu, güncel kampanyalardan yararlanmak için bahsegel üzerinden siteye ulaşmalıdır.

Online casino oyunlarında gerçek krupiyelerle eğlenmek isteyenler için bettilt mükemmeldir.

Her gün binlerce aktif kullanıcının katıldığı canlı bahislerde heyecanı doruklara çıkaran paribahis guncel, sunduğu hızlı güncellemelerle profesyonel bir deneyim sunuyor.

Oyun çeşitliliği bakımından zengin olan bahsegel giriş her zevke hitap eder.

Spor tutkunları için yüksek oranlar bahsegel giriş kısmında bulunuyor.

Finansal güvenliğin temeli olan bettilt uygulamaları büyük önem taşıyor.

Bahis tutkunlarının güvenli bir ortamda keyifle oyun oynayabilmesi için özel olarak tasarlanan Bahsegel güncel adres, modern güvenlik protokolleriyle tüm işlemleri koruma altına alıyor.

ภาคอสังหาฯปรับตัวรับ LTV ใหม่

การปรับตัวของภาคอสังหาฯหลังปรับมาตรการ LTV
หลังจาก ธปท. ได้ปรับมาตรการ LTV ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 พบว่า สัญญาณการเก็งกําไรและความไม่สมดุลในตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับลดลงสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ มาตรการ กล่าวคือ มาตรฐานการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของ สง. รัดกุมขึ้น โดยผู้กู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย หลังแรก (ผ่อนสัญญาเดียว) ไม่ได้รับผลกระทบ ราคาที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะอาคารชุดมีแนวโน้มปรับลดลง และผู้ประกอบการเริ่มชะลอการเปิดโครงการใหม่ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ อาคารชุดในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์ต่างชาติและมีอุปทานคงค้างอยู่ใน ระดับสูงตั้งแต่ก่อนการประกาศใช้มาตรการ LTV อาจต้องใช้เวลานานขึ้นในการปรับตัว จึงยังต้องติดตาม การปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาวะอุปทานคงค้างในตลาดอาคารชุด ในบางพื้นที่ รวมถึงแนวโน้มการเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการเพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ที่ เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต

1 การปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์หลังการปรับมาตรการ LTV และการประเมินประสิทธิผลของมาตรการ LTV ช่วงปี 2560-2561

ภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยสะสมความเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยการแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยรุนแรงขึ้น เนื่องจาก สง.หันมาปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกันให้แก่รายย่อยมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อทดแทนสินเชื่อธุรกิจที่บางส่วนหันไประดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้มากขึ้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ จนทําให้มาตรฐานการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหย่อนลงในหลายมิติ อาทิ มีการให้สินเชื่อมากกว่ามูลค่าหลักประกัน หรือ บางกรณีผู้กู้ไม่จําเป็นต้องมีเงินดาวน์ (ออมก่อนกู้) นอกจากนี้ยังพบรูปแบบการให้สินเชื่อที่มีส่วนสนับสนุนพฤติกรรมการกู้ซื้อเพื่อลงทุนแสวงหาผลตอบแทน (เช่น การปล่อยเช่า หรือ การขายต่อด้วยราคาที่สูงขึ้น) โดยไม่ได้อยู่อาศัยจริงสะท้อนจากการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 ขึ้นไป ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและได้รับสินเชื่อที่มี LTV ในระดับสูงไม่ต่างจากสัญญาแรก และมีการเร่งขึ้นของการให้ LTV ในระดับสูงในกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งผู้ซื้อกลุ่มนี้มีส่วนทําให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเร็วกว่าการขยายตัวของรายได้ผู้กู้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำจนกระทบต่อความสามารถในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย (housing affordability) ของกลุ่มที่ต้องการกู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มมากขึ้น จนส่งผลให้มีอุปทานคงค้างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาคารชุดในบางพื้นที่
การแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เกินพอดีเป็นปัจจัยหนึ่งที่เร่งให้การเก็งกําไรในภาคอสังหาริมทรัพย์มีความรุนแรงขึ้น  ซึ่งหากการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความต้องการอยู่อาศัยจริงและหากในอนาคตเศรษฐกิจถูกกระทบด้วยปัจจัยลบที่รุนแรง กลุ่มผู้กู้ซื้อเพื่อเก็งกําไรหรือกลุ่มอุปสงค์เทียมจะเป็นกลุ่มแรกที่ปรับตัวและอาจส่งผลให้อุปสงค์ต่อที่อยู่อาศัยและราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับลดลงอย่างรุนแรง (massive price correction) ซึ่งอาจขยายวงกว้างจนกระทบต่อประชาชนและ ผู้กู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงได้ ธปท. จึงได้ปรับปรุงมาตรการ LTV โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 และมีสาระสําคัญ คือ กําหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันให้รัดกุมขึ้นสําหรับ

(1) การกู้ซื้อ ที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 ขึ้นไป และ
(2) การกู้ซื้อ ที่อยู่อาศัยราคาเกิน 10 ล้านบาท (ตารางที่ 3.1) โดยการออกมาตรการมีความระมัดระวังไม่ให้ผู้กู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงได้รับผลกระทบ ซึ่งการปรับปรุงหลักเกณฑ์ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลไม่ให้เกิดการเก็งกําไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์จนเกินพอดี ซึ่งจะช่วยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ปรับเข้าสู่จุดสมดุลที่ดีขึ้นได้อย่างราบรื่น (orderly adjustment) และลดความเสี่ยงจากปรับตัวของราคาอสังหาริมทรัพย์ที่รุนแรงเป็นวงกว้างในอนาคต รวมทั้งยกระดับมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อของ สง. ให้ประเมินความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและคํานึงถึงความสามารถในการชําระหนี้ของผู้กู้ตลอดอายุสัญญากู้

ภายหลังมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบทั้งอุปสงค์จากต่างประเทศที่ชะลอลงตามทิศทางเศรษฐกิจโลก และอุปสงค์ในประเทศที่เริ่มสัญญาณชะลอตัวซึ่ง ธปท.ได้ติดตามการปรับตัวของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด และประเมินประสิทธิผลของมาตรการ ซึ่งพบว่าสัญญาณการเก็งกําไรและความไม่สมดุลในตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับลดลงสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรการ อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะอาคารชุดในบางพื้นที่ได้รับผลกระทบจาก การชะลอตัวของอุปสงค์ต่างชาติประกอบกับมีอุปทานคงค้างอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ก่อนการประกาศใช้มาตรการ LTV ทําให้ต้องใช้เวลานานขึ้นในการปรับตัวโดยมีรายละเอียด ดังนี้

(1) มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของ ธพ. รัดกุมขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 ขึ้นไป เข้มงวดขึ้นในทุกกลุ่มรายได้สะท้อนจากค่าเฉลี่ย LTV ratio ในภาพรวมในไตรมาสที่ 3 ปี 2562 ที่ร้อยละ 81.7 ลดลงจากร้อยละ 89.3 ในปี 2561 ขณะที่ผู้กู้ซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาแรกไม่ได้รับผลกระทบ โดยยังได้รับวงเงินสินเชื่อตามมูลค่าหลักประกันในระดับสูง สะท้อนจากค่าเฉลี่ย LTV ratio ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 88.7 (ภาพที่ 3.1) แสดงให้เห็นว่าผู้กู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ นอกจากนี้สัดส่วนจํานวนบัญชีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ที่มี LTV ratio ในระดับสูง (มากกว่าร้อยละ 90) ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 43 จากร้อยละ 47 ในปี 2561

อย่างไรก็ดี ความสามารถในการชําระหนี้ของผู้กู้ยังเปราะบาง สะท้อนจากค่าเฉลี่ยมูลค่าสินเชื่อต่อรายได้ของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ (loan to income: LTI) และค่าเฉลี่ย 50,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ภาคครัวเรือนในระยะข้างหน้า ดังนั้น ธพ.ยังต้องให้ความสําคัญกับความสามารถในการชําระหนี้ในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับผู้กู้ต่อไป


(2) สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ยังขยายตัว โดยการเก็งกําไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอลง ขณะที่การกู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงยังขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจํานวนบัญชีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ของ ธพ.ในช่วง 9 เดือนแรกของ ปี 2562 ที่เป็นการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 ขึ้นไปหดตัวลง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวสูง ซึ่งมักเป็นตลาดที่มีอุปสงค์เพื่อการลงทุนและเก็งกําไรสูงหดตัวถึงร้อยละ 31.8 ขณะที่การกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาแรกซึ่งมักเป็นการกู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงยังขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 8.8 (ตารางที่ 3.2) สอดคล้องกับสัดส่วนจํานวนบัญชีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ของ ธพ.ที่ผู้กู้ผ่อนพร้อมกันตั้งแต่ 2 สัญญาขึ้นไปที่ปรับลดลงในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ขณะที่สัดส่วนผู้กู้ที่ผ่อนสัญญาเดียวปรับเพิ่มขึ้น (ภาพที่ 3.2) ทั้งนี้จากข้อมูลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ของ ธพ.พบว่าการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาที่ 2 ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นการลงทุนหรือเก็งกําไรหากพิจารณาจากระยะเวลาระหว่างการกู้สัญญาแรกและสัญญาที่ 2 โดยเฉพาะการกู้ซื้ออาคารชุดเป็นสัญญาที่ 2 ส่วนใหญ่มีระยะเวลาการกู้ห่างจากการกู้ซื้ออาคารชุดสัญญาแรกไม่เกิน 1 ปี


(3) ราคาที่อยู่อาศัยเริ่มมีแนวโน้มชะลอลงโดยเฉพาะอาคารชุด ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสมขึ้น โดยมาตรฐานการให้สินเชื่อที่รัดกุมขึ้น รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวทําให้อุปสงค์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับลดลงซึ่งมีส่วนช่วยชะลอการเร่งตัวของราคาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะราคาอาคารชุดที่เร่งตัวขึ้นมากในช่วงก่อนมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้จากการเก็งกําไร ขณะที่ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยแนวราบ(ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์) ยังเห็นแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ที่อยู่อาศัยแนวราบที่ยังขยายตัวได้

(4) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวโดยชะลอการเปิดขายโครงการใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ที่มีแนวโน้มลดลง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 จํานวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในเขต กทม.และปริมณฑลหดตัวร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการลดลงของการเปิดตัวอาคารชุดเป็นหลัก (ภาพที่ 3.4) นอกจากนี้ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์โดยเน้นเปิดขายโครงการใหม่ให้เหมาะสมกับกําลังซื้อของผู้บริโภค และเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัยจริงมากขึ้น โดยผู้ประกอบการนอกตลาดหลักทรัพย์ฯเน้นเปิดโครงการที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง (ราคาต่อยูนิตต่ำกว่า 3 ล้านบาท) ซึ่งส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ส่วนผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ฯลดการเปิดโครงการระดับ luxury (ราคาต่อยูนิตมากกว่า 10 ล้านบาท) และหันมาเปิดโครงการระดับ high-end (ราคาต่อยูนิต 5-10 ล้านบาท) อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงจากภาวะอุปทาน คงค้างยังมีอยู่ เพราะแม้ผู้ประกอบการได้ชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ลงบ้างเมื่อเทียบกับปี 2561 แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตประกอบกับในบางพื้นที่มีอุปทานคงค้างอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ก่อนการประกาศใช้มาตรการ LTV จึงยังต้องติดตามความเสี่ยงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ในส่วนของการระดมทุนพบว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังระดมทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะผ่านการออกตราสาร
หนี้โดย ณ สิ้นเดือนกันยายนปี 2562 ยอดคงค้างตราสารหนี้ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 19.9 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ขณะที่สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แม้ขยายตัวชะลอลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ยังขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 8.4

คุณภาพสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมยังทรงตัวแต่ต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวสูงในหัวเมืองใหญ่ และต่างจังหวัดซึ่งมีสัดส่วน NPL และ SM ในระดับสูงตั้งแต่ก่อนออกมาตรการ LTV ทั้งนี้อุปสงค์ต่างชาติและในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลงตามทิศทางเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อคุณภาพสินเชื่อของผู้ประกอบการบางรายและในบางพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการอาคารชุดที่เดิมปัญหาอุปทานคงค้างอยู่ในระดับสูง

ภายหลังประกาศใช้มาตรการ LTV ธปท.ได้ติดตามสถานการณ์และรับฟังความเห็นรวมทั้งข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562 ได้พิจารณาผ่อนปรนการนับสัญญากรณีกู้ร่วมสําหรับผู้กู้ที่ไม่มีชื่อเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ในหลักประกันเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อผู้กู้ร่วม และช่วยให้ผู้กู้ร่วมได้รับสินเชื่อตามความเหมาะสมมากขึ้นเนื่องจากผู้กู้ร่วมมักเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่สูงและกู้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้กู้หลักให้ได้รับอนุมัติสินเชื่อจาก สง.ทั้งนี้ จากข้อมูลจํานวนสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในปี 2561 พบว่าการกู้ร่วมส่วนใหญ่เป็นการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาแรกโดยมีสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 26 ของการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาแรกทั้งหมดและส่วนใหญ่เป็นการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบที่ราคา 2-5 ล้านบาท

นอกจากนี้ในช่วงปลายปี 2562 ภาครัฐได้ออกมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองโดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรการ LTV ของธปท.ในการดูแลไม่ให้อุปสงค์เพื่อการลงทุนและเก็งกําไรส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงโดยมาตรการที่สําคัญ ได้แก่
(1) มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริงสูงสุด ไม่เกิน 2 แสนบาท สําหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท19
(2) การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจํานองที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาทเหลือร้อยละ 0.01 เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท 20 และ
(3) โครงการ “บ้านดีมีดาวน์” ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนเงินเพื่อลดภาระการผ่อนดาวน์ (cash back) ด้วยการให้เงินจํานวน 50,000 บาท ต่อรายแก่ผู้เข้าร่วมโครงการ 1 แสนรายแรกที่ได้รับการอนุมัติ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและดําเนินการจดจํานองแล้วเสร็จระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 256321

2 ปัจจัยเสี่ยงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในระยะข้างหน้า
แม้ความเสี่ยงจากปรับตัวของราคาอสังหาริมทรัพย์ที่รุนแรงในวงกว้างจะปรับลดลงตามภาวะการเก็งกําไรที่ชะลอลง แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญความเสี่ยงสําคัญในระยะข้างหน้า ได้แก่ ความเสี่ยงจากภาวะอุปทานคงค้างซึ่งอาจมีผลกระทบต่อฐานะและสภาพคล่องของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงความสามารถในการต่ออายุตราสารหนี้เดิมที่ครบกําหนด (rollover risk)

(1)แนวโน้มอุปทานคงค้างในอนาคต ความเสี่ยงจากอุปทานคงค้าง โดยเฉพาะอาคารชุดยังมีอยู่ เนื่องจากในบางพื้นที่มีอุปทานคงค้างอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ก่อน การประกาศใช้มาตรการ LTV ประกอบกับอุปสงค์จากต่างประเทศและในประเทศที่ชะลอลงโดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 มูลค่าเงินโอนเพื่อซื้ออาคารชุดของชาวต่างชาติหดตัวร้อยละ 34.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อุปสงค์ในประเทศได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวชะลอลงและการปรับตัวของผู้กู้หลังมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้การปรับตัวของอุปทานอาคารชุดใช้เวลามากกว่าแนวราบ ซึ่งทั้งปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานส่งผลให้อุปทานคงค้างอาคารชุด ณ ครึ่งแรกของปี 2562 เพิ่มขึ้นและผู้ประกอบการต้องใช้เวลานานขึ้นในการระบายอาคารชุดคงค้าง

ความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบคาดว่าจะทําได้ดีกว่ากลุ่มประเภทอาคารชุดกล่าวคือ ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยแนวราบจะสามารถปรับตัวกับแนวโน้มอุปสงค์ที่ลดลงได้ค่อนข้างดีเพราะสามารถปรับเปลี่ยนแผนการเปิดโครงการใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากที่อยู่อาศัยแนวราบใช้เวลาก่อสร้างเสร็จค่อนข้างเร็ว ประกอบกับอุปสงค์ของที่อยู่อาศัยแนวราบในแต่ละปีมีความผันผวนค่อนข้างน้อยขณะที่อาคารชุดต้องใช้เวลาในการก่อสร้างนานและไม่สามารถหยุดพักการก่อสร้างกลางคันได้ เช่นเดียวกับกรณีที่อยู่อาศัยแนวราบผู้ประกอบการจึงต้องทยอยเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่องส่งผลให้อุปทานอาคารชุดปรับตัวได้ยากกว่า

สําหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์พบว่ามีความเสี่ยงจากอุปทานคงค้างในตลาดอาคารสํานักงานเพิ่มขึ้นในระยะ 5 ปี ข้างหน้าจากอุปทานพื้นที่อาคารสํานักงานใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นเป็นจํานวนมากโดยเฉพาะในปี 2565 ที่ มีอุปทานเปิดใหม่ในตลาดมากกว่า 600,000 ตารางเมตร ส่วนหนึ่งจากโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม(mixed use)ที่เร่งตัวขึ้นมาก โดยหากอุปสงค์พื้นที่อาคารสํานักงานอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร จะทําให้อุปทานพื้นที่อาคารสํานักงานคงค้างอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ปี 2565

ทั้งนี้ หากในระยะต่อไปผู้ประกอบการต้องใช้เวลานานขึ้นในการระบายอุปทานคงค้างโดยเฉพาะในประเภทอาคารชุดอาจทําให้เกิด ความเสี่ยงด้านฐานะและสภาพคล่องของผู้ประกอบการบางราย

(2)ความเสี่ยงด้านฐานะและสภาพคล่องของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บางรายซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการต่ออายุตราสารหนี้เดิมที่ครบกําหนด (rollover risk) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการออกตราสารหนี้ non-investment grade และ unrated ซึ่งส่วนใหญ่มักออกโดยบริษัทที่มีการก่อหนี้สูงหรือขาดทุนจากการดําเนินงาน โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน ปี 2562 ยอดตราสารหนี้ non-investment grade และ unrated ที่ออกโดยผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มียอดคงค้างอยู่ที่ 133,172 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 56 ของยอดตราสารหนี้ non-investment grade และ unrated ทั้งหมดในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 39 ณ สิ้นปี 2559

มองไปข้างหน้าแนวโน้มอุปสงค์ต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ลดลงตามเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มีทิศทางชะลอตัวและ ภาวะอุปทานคงค้างที่ยังมีอยู่อาจส่งผลกระทบต่อฐานะและสภาพคล่องของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บางรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอุปทานคงค้างอยู่ในระดับสูงอยู่เดิม กลุ่มที่เน้นพึ่งพาอุปสงค์จากต่างชาติหรืออุปสงค์เพื่อเก็งกําไรและกลุ่มที่มีฐานะทางการเงินเปราะบาง เช่น มีอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยต่ำ (interest coverage ratio) ทั้งนี้หากกลุ่มดังกล่าวพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากการออกตราสารหนี้อาจนําไปสู่ความเสี่ยงที่จะไม่สามารถต่ออายุตราสารหนี้เดิมที่ครบกําหนดได้โดยตราสารหนี้ non-investment grade และ unrated ที่ออกโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และจะครบกําหนดชําระภายในปี 2564 มีมูลค่าทั้งสิ้น 73,797 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25 ของตราสารหนี้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดที่จะครบกําหนดชําระภายในปี 2564  ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น หากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ออกตราสารหนี้ non-investment grade และ unrated ไม่สามารถต่ออายุตราสารหนี้ได้เมื่อครบกําหนดอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตราสารหนี้ที่ออกโดยผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ ทําให้ต้นทุนในการระดมทุนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตลาดตราสารหนี้ปรับสูงขึ้นได้

ในระยะต่อไป ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามผลกระทบของมาตรการ LTV สถานการณ์ และการปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะภาวะอุปทาน คงค้างรวมถึงผู้ประกอบการกลุ่มที่ออกตราสารหนี้ non-investment grade และ unrated เพื่อเตรียมแนวนโยบายไว้รองรับอย่างเหมาะสมและทันการณ์ตลอดจนเอื้อให้ภาคอสังหาริมทรัพย์สามารถปรับตัวเข้าสู่จุดสมดุลที่ดีขึ้นได้อย่างราบรื่นโดยเฉพาะภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัว

 

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

โพสที่เกี่ยวข้อง