โจนส์ แลง ลาซาลล์ฯเผยนักลงทุนแห่สอบถามโรงแรมหลายแห่งในกทม.ประกาศขาย มูลค่ามากกว่า 110,000 ล้านบาท ข่าวอาจคลาดเคลื่อน เหตุราคาประกาศขายสูงเกินจริง ระบุหากซื้อขายผ่านโบรกเกอร์มืออาชีพ ราคาต้องอิงจากผลตอบแทน-ทำเล-สภาพทรัพย์สินและสภาวะตลาดลงทุน ระบุปี 62 ดีลซื้อขายโรงแรมในภูมิภาคเอเชีย มากสุดเกินกว่า 13,800 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อทุกภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งธุรกิจโรงแรมก็เป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ เพราะโรงแรมหลายแห่งต้องหยุดให้บริการชั่วคราวมาเป็นระยะเวลาประมาณ 2 เดือน เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหดหาย และภาครัฐมีการระงับเที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศเป็นการชั่วคราว รวมไปถึงผลกระทบจากมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม ซึ่งส่งผลให้โรงแรมต่างๆสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล และล่าสุดได้มีข่าวลือผ่านโซเชียลเน็ทเวิร์คว่าโรงแรมหลายแห่งในกรุงเทพฯประกาศขายกิจการเป็นจำนวนมาก รวมมูลค่ามหาศาล
นายจักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายการลงทุน หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JLL เปิดเผยว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มีนักลงทุนไทยและต่างชาติ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน ต่างติดต่อเพื่อสอบถามถึงกรณีที่มีข่าวว่าโรงแรมจำนวน 22 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯประกาศขาย รวมมูลค่ามากกว่า 110,000 ล้านบาท นั้นมองว่าราคาที่ข่าวนำเสนอนั้นอาจมีความคลาดเคลื่อน เนื่องจากเป็นราคาที่สูงเกินจริงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ JLL มีการติดต่อใกล้ชิดกับเจ้าของโรงแรมส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวถึง และไม่พบว่ามีการเสนอขายโรงแรมในลักษณะดังกล่าว แต่หากเป็นราคาที่เสนอขายจริง และขายได้ก็เป็นราคาที่ดีมาก
“หลายครั้งที่เราเห็นข่าวที่มีการส่งต่อกันและราคาได้มีการปรับขึ้นโดยที่ปรึกษาและโบรกเกอร์คนกลาง ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นไปจากเดิม ในขณะที่หน้าที่ของโบรกเกอร์คือ การหาทางปิดการขายให้ได้ราคาที่สูงสุดสุดสำหรับเจ้าของ แต่ราคาจะต้องอิงกับผลตอบแทน ทำเล และสภาพของทรัพย์สิน รวมไปถึงสภาวะตลาดการลงทุน”
ทั้งนี้ทรัพย์สินมูลค่าเป็นพันล้านหรือหลายพันล้านบาท เช่น โรงแรม เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่นักลงทุนจะต้องเชื่อใจข้อมูล และตัวแทนที่นำเสนอว่าเจ้าของมีความสนใจจริงที่จะขายในราคาดังกล่าว นักลงทุนจะต้องสัมผัสได้ถึงความโปร่งใส และการปฏิบัติแบบเท่าเทียมบนพื้นฐานของกรอบข้อมูลเดียวกัน
นายจักกริช กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา JLL ได้ปิดการขายโรงแรมในประเทศไทยไปแล้ว 33 ดีล รวมมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ JLL ประสบความสำเร็จในการขายโรงแรมไม่เฉพาะในประเทศไทย แต่ทั่วเอเชีย แปซิฟิก รวมถึงได้รับการจัดอันดับโดย Real Capital Analytics ให้เป็นเป็นตัวแทนการขายโรงแรมอันดับหนึ่งติดต่อกันตลอด 9 ปี คือกระบวนการขายที่ได้รับความไว้วางใจจากทางนักลงทุน โดยบริษัทฯจะเน้นการรับงานในลักษณะของตัวแทนขายแต่เพียงผู้เดียว (Sole Agency) เพื่อให้สามารถควบคุมดีลได้ 100% แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถร่วมงานกับโบรกเกอร์รายอื่น
สำหรับสถานการณ์ขณะนี้ ยังไม่พบว่ามีเจ้าของออกมาประกาศขายโรงแรมมากนัก แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่ดีขึ้น ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การเดินทางทั่วโลกจะมีข้อจำกัดเป็นอย่างมาก น่าจะเริ่มเห็นธุรกิจโรงแรมมีการประกาศขายมากขึ้น โดยมีนักลงทุนที่สนใจจะซื้อธุรกิจโรงแรมทุกระดับตั้งแต่ 3 จนถึง 5 ดาว และส่วนใหญ่จะสนใจโรงแรมที่ก่อสร้างเสร็จแล้วมากกว่าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนา เพื่อที่จะสามารถรับรู้รายได้โดยเร็ว
“มองดูภาพตลาดโรงแรมโดยรวมในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าเป็นช่วงชุลมุน ไม่มีใครเตรียมตัวสำหรับวิกฤตที่มีผลกระทบทั่วโลก ต้องปิดกิจการชั่วคราว จากรายรับ 100% เป็น 0% ซึ่งทุกโรงแรมก็พยายามบริหารจัดการธุรกิจให้อยู่รอดให้ได้ก่อน หากสถานการณ์ต้องยืดไปเรื่อย ๆ ต้องจับตาดูว่าความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินและภาครัฐจะเป็นอย่างไร หากไม่เพียงพอ จะมีเจ้าของโรงแรมจำเป็นที่จะต้องปล่อยขายโรงแรมเพิ่มขึ้น” นายจักรกริช กล่าว
นายจักรกริช กล่าวเพิ่มเติมว่า หากมองในภูมิภาคเอเชีย จะพบว่าแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันมาก และระดับการซื้อขายธุรกิจโรงแรมในปี 2563 นี้ จะลดลงจากปีที่ผ่านมา ซึ่งปี 2562 มีการซื้อขายมากที่สุดคิดเป็นมูลค่าเกินกว่า 13,800 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับดีลที่ JLL ดำเนินการขายในประเทศไทยมีมูลค่าเริ่มตั้งแต่หลายร้อยล้าน จนถึงหลายพันล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะอยู่ราว 1,000-2,000 ล้านบาท แต่ละแห่งใช้ระยะเวลาในการดีลตั้งแต่เริ่มขายจนถึงโอนประมาณ 6-9 เดือน ปัจจุบัน JLL มีดีลการขายโรงแรมจากปี 2562 ที่ผ่านมาที่โอนไปเมื่อต้นปีและกำลังรอโอนมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านบาท โดยเป็นโรงแรมในภาคใต้ ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
