PS ปรับกลยุทธ์สู่ Blue Ocean นำร่องธุรกิจโซลาร์เซลแบรนด์ “เดอะ ปาล์ม”

พฤกษาฯแย้มแผนปี66 ปรับแผนสู่ Blue Ocean หวังกระจายความเสี่ยง-สร้างรายได้ระยะยาว นำร่องธุรกิจโซลาร์เซล จากโครงการ “เดอะ ปาล์ม” อนาคต 6-7 ปี ตั้งเป้ารายได้อสังหาฯเพื่อการขายเหลือ 60% ส่วนธุรกิจโรงพยาบาลคาดสร้างผลกำไรภายใน 5 ปีหลังเปิดให้บริการ เผยคอนโดฯใกล้มหาวิทยาลัย-แม่น้ำ ยังทำยอดขายได้ดี ประกาศ 3 เดือนสุดท้ายปี 65 จ่อเปิดตัวใหม่ 10-11 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท ด้าน“แชปเตอร์ จุฬา-สามย่าน”ยอดขายพุ่งแล้วกว่า 90%
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ PS ในเครือบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2565 ยังไม่โตมาก จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ค่อยฟื้นตัวดีนัก ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทมีแผนที่จะปรับกลยุทธ์สู่ Blue Ocean ในรูปแบบธุรกิจใหม่ๆมากขึ้น ด้วยการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯในระยะยาว เช่น การดำเนินธุรกิจโซลาร์เซล ซึ่งจะพัฒนาโดยบริษัทในเครือของ PSH เพื่อให้ลูกค้าในโครงการสามารถมีรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้าได้ โดยมีแผนจะในโครงการบ้านระดับราคาเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไปก่อน ซึ่งจะนำร่องในแบรนด์ “เดอะ ปาล์ม”ก่อน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2566 นี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

โดยในอนาคต 6-7 ปี จะทำให้สัดส่วนในแต่ธุรกิจปรับเปลี่ยนไป คือ อสังหาฯจากปัจจุบันอยู่ที่ 90%(มีพอร์ตรวมมูลค่า 40,000 ล้านบาท) เหลือสัดส่วน 60% ,ธุรกิจโรงพยาบาล สัดส่วน 20% จากปัจจุบันที่ยังขาดทุนอยู่ แต่คาดว่าจะสร้างสามารถสร้างผลกำไรได้ภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากปีที่เปิดให้บริการ และ ธุรกิจใหม่ๆสัดส่วน 20%

“ผู้ประกอบการรายกลาง-เล็ก หากไม่มีต้นทุนทางการเงินที่สูงพอ ก็คงอยู่ในธุรกิจได้ยาก ซึ่งในส่วนของพฤกษาฯเอง เรามั่นใจว่ามีต้นทุนทางการเงินที่สูงพอ ประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท/เดือน ซึ่งเป็นเม็ดเงินต้นทุนที่ห่างไกลจากผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กมาก” นายปิยะ กล่าว

สำหรับในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าภาพรวมตลาดคอนโดฯคงยังไม่ฟื้นตัวมากนัก เพราะต้องรอให้ชาวต่างชาติกลับมาเสียก่อน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน แต่พบว่าคอนโดฯที่เปิดขายใกล้มหาวิทยาลัย หรือ ใกล้แม่น้ำ ยังสามารถทำยอดขายได้ดีทุกโครงการ

อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลากว่า 2 เดือนของปี 2565 บริษัทฯมีแผนจะเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ประมาณ 10-11 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 1 โครงการ,บ้านเดี่ยว 3 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 6-7 โครงการ ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้

โดยปัจจุบันบริษัทฯมีการพัฒนาสินค้าระดับล่าง ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท สัดส่วน 40% ,ระดับกลาง สัดส่วน 50% และระดับบน ราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปสัดส่วน 10% ซึ่งในระยะเวลา 3-4 ปีนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะพยายามปรับสัดส่วนสินค้าระดับบนเพิ่มเป็น 30% และระดับล่างเหลือ 20%

ทั้งนี้ตลาดที่อยู่อาศัยแนวสูงยังคงมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองในแต่ละย่านของกรุงเทพฯ โดยช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ บริษัทมีความพร้อมในการโอนคอนโดมิเนียมซึ่งสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่รวม 6 โครงการ แต่ละโครงการตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพย่านใจกลางเมือง การเดินทางสะดวกและเชื่อมโยงชีวิตเข้ากับไลฟ์สไตล์เมืองทุกรูปแบบตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทั้งสองกลุ่มคือ กลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและกลุ่มที่ต้องการมีอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน โดยช่วงไตรมาส 3 ได้เริ่มทยอยรับรู้รายได้จากโครงการ เดอะรีเซิร์ฟ 61 ไฮด์อะเวย์, แชปเตอร์ เจริญนคร-ริเวอร์ไซด์ และโครงการแรกของไตรมาส 4 นี้ที่จะเริ่มโอน “แชปเตอร์ จุฬา-สามย่าน”เป็นที่แรก จากนั้นจะทยอยโอน เดอะไพรเวซี่ จตุจักร, พลัมคอนโด พระราม 2 และ  พลัมคอนโด สุขุมวิท 62 ภายในสิ้นปี 2565  มูลค่ารวมทั้ง 6 โครงการอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาทฃ

“การเปิดตัวโครงการในปีนี้เป็นไปตามแผน แต่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากในปีนี้เราเน้นระบายสต๊อกเดิมและเน้นการโอนมากกว่า จึงอาจทำให้ยอดขายในปีนี้ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ ส่วนรายได้ในไตรมาส 4/2565 มั่นใจว่าเป็นไปตามเป้า 12,000 ล้านบาท”นายปิยะ กล่าว
ส่วนความคืบหน้าโครงการ“แชปเตอร์ จุฬา-สามย่าน” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียมสูง 31 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 22-72 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 4.99-12 ล้านบาท จำนวน 179 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,480 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 90%

 

 

 

โพสที่เกี่ยวข้อง