NOBLE เผยพฤติกรรมผู้บริโภคกระเป๋าหนัก หันซื้ออสังหาฯเพื่อลงทุน กระจายความเสี่ยง

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ฯเผยพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ หันเน้นลงทุนอสังหาฯมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะเรื่องอัตราการแลกเปลี่ยน เงินเฟ้อ ที่สามารถปรับค่าเช่าได้ตามสถานการณ์ ล่าสุดโชว์ฟอร์มผลงานไตรมาส 3/65 รายได้รวม 2,193 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 137 ล้านบาทขณะที่ยอดขาย 10 เดือนแรกทะยาน 14,796 ล้านบาท หลังโครงการพร้อมอยู่และโครงการใหม่ขายดีเกินคาด พร้อมประเมินไตรมาส 4 โตต่อเนื่อง คาดจะทยอยโอนในปีนี้ได้กว่า 4,100 ล้านบาท
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า จากการที่ก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติให้ต่างชาติที่มีรายได้สูง 4 กลุ่ม มีจำนวนเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ในกิจการหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น จะได้สิทธิวีซ่าผู้พำนักระยะยาว (LTR Visa 10 ปี) และจะได้สิทธิขอถือครองที่ดิน เพื่ออยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่ (400 ตารางวา) ภายในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาล หรืออยู่ภายในบริเวณที่กำหนดเป็นเขตที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองนั้น บริษัทฯ มองว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวเนื่องจากโนเบิลฯเป็นผู้นำทางด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่างชาติอยู่แล้ว
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โนเบิลฯเป็นผู้นำในการขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ ให้กับลูกค้าต่างชาติ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) มากกว่า 50% ของมูลค่าตลาดรวมการขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ แต่โนเบิลฯก็ยังคงมียอดขายจากลูกค้าต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการเดินหน้าทำการตลาดในกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีความสนในซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสัญชาติของลูกค้าที่เข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีความหลากหลายขึ้น ไม่ได้พึ่งพิงตลาดจีนเพียงอย่างเดียวแต่ยังกระจายไปตลาดฮ่องกง ใต้หวัน สิงคโปร์ และเมียนมา เป็นต้น และในปี 2566 บริษัทฯจะเน้นการเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้น เพื่อให้สอดรับนโยบายภาครัฐอีกด้วย
โดยส่วนตัวมองว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันคนโดยเฉพาะผู้มีกำลังซื้อ จะเน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ซึ่งการลงทุนในช่วงที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน การ Inflation Hedge (การป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน) ในการลงทุนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นทางออกที่ดี เพราะเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อไปในตัว ซึ่งหากเงินเฟ้อสูง สามารถปรับราคาค่าเช่าขึ้นตามได้ ขณะที่ราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างก็ปรับตัวขึ้นตลอด ดังนั้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นการลงทุนที่ดี ทำให้มียอดขายของโนเบิลฯมาจากลูกค้าในกลุ่มนักลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง 
ทั้งนี้จากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศได้ทยอยฟื้นตัว ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการขายโครงการในเครือของ NOBLE ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/2565 เติบโตขึ้น โดยมีรายได้รวม2,193 ล้านบาท เติบโต 150% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 137 ล้านบาท ซึ่งหลักๆ มาจากการโอนโครงการพร้อมอยู่ (Ready to Move) และโครงการที่เพิ่งสร้างเสร็จในไตรมาสนี้ เช่น โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 โครงการนิว โนเบิล ศรีนครินทร์ลาซาล โครงการโนเบิล บี 19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33 และโครงการ โนเบิลแอมเบียนส์ สุขุมวิท 42 เป็นต้น

ส่งผลให้ผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม โดยมีรายได้รวม4,733 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท ด้านยอดขาย (Pre-sale) ในช่วง 10 เดือนแรกของปี2565 เติบโตทะยานแตะระดับ 14,796 ล้านบาท สอดคล้องกับภาพรวมของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมา ซึ่งยอดขายดังกล่าวเป็นยอดขายที่เติบโตก้าวกระโดด หรือเติบโตในระดับเกือบ 2 เท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยทุกโครงการที่บริษัทฯเปิดตัวใหม่ในปีนี้ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง สร้างยอดขายเฉลี่ยที่ระดับ 60%-70% ต่อโครงการ ซึ่งเป็นไปตามตลาดโดยรวมที่ฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลดีต่อ Sentiment ของผู้บริโภคภายในประเทศ ทั้งลูกค้าในกลุ่มที่เป็นซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real demand) และลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) สิ้นไตรมาส 3/2565 ในมือรวมมูลค่า 20,050 ล้านบาท  

ขณะที่ทิศทางของไตรมาส 4/2565 มองว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้บริษัทฯ มีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ทั้งหมด 5 โครงการ ซึ่งได้มีการทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3/2565 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 และ โครงการนิวโนเบิล ศรีนครินทร์ลาซาล ทั้งนี้ในไตรมาส 4/2565 นี้ จะมีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่เพิ่มอีก 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ 2. โครงการนิว โนเบิล งามวงศ์วาน และ 3. โครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา ซึ่งทั้ง 5 โครงการดังกล่าวมียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 5,200 ล้านบาท โดยคาดว่าจะทยอยโอนได้ในปีนี้ได้กว่า4,100 ล้านบาท ประกอบกับยังมีโครงการแนวราบที่ทยอยสร้างและทยอยส่งมอบตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เช่น โครงการโนเบิล เกเบิล วัชรพล โครงการนิว โนเบิล คอนเน็กซ์ เฮาส์ ดอนเมืองโครงการโนเบิล เคิร์ฟ และโครงการนิว โนเบิล โคฟนอร์ธ ราชพฤกษ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการใหม่ภายใต้ โครงการนิว ริเวอร์เรสต์ ราษฎร์บูรณะ” มูลค่าโครงการ 4,650 ล้านบาทเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการคอนโดใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของบริษัทฯ โดยการพัฒนาโครงการของโนเบิลในทุกโครงการจะเน้นให้มีความหลากหลาย ทันสมัย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และสร้างความพร้อมในการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับโอกาสที่จะเข้ามาในอนาคต

ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2565 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่รวมจำนวนทั้งหมด 11 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 31,550 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ต้นปีเนื่องจากมีบางโครงการได้มีการเลื่อนเปิดไปปี 2566 โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการประเภทแนวราบซึ่งบริษัทฯ ต้องการให้สร้างเสร็จระดับนึงก่อนขาย ซึ่งคาดว่าโครงการที่เลื่อนออกไปจะเริ่มทยอยเปิดตัวได้ในช่วงต้นปี 2566 เป็นต้นไป ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมบางโครงการที่เลื่อนเปิดตัว เนื่องจากเป็นโครงการร่วมทุนที่มีขนาดใหญ่ จึงยังต้องรอจังหวะให้มั่นใจว่าต่างชาติกลับเข้ามาก่อน ทั้งนี้โครงการที่เลื่อนเปิดไม่กระทบกับการรับรู้รายได้ของบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯ ยังคงดำเนินการพัฒนาโครงการในด้านอื่น ตามแผนการที่วางไว้ ทั้งงานด้านการออกแบบ การก่อสร้าง การขออนุญาต ซึ่งเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นบริษัทฯ ก็สามารถเปิดตัวโครงการ และพัฒนาโครงการต่อได้ทันที

โพสที่เกี่ยวข้อง