นิปปอนเพนต์ฯเผยปี 66 อย่างมีความท้าทาย แม้มีสัญญาณบวกจากภาคท่องเที่ยว–อสังหาฯเริ่มฟื้นตัว เชื่อตลาดคอนโดฯกลับมาคึกคักอีกรอบ หวั่นปัจจัยลบการเลือกตั้ง จับตาดูนโยบายรัฐบาชุดใหม่จะเดินหน้าอย่างไร ตั้งเป้าขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาดรวมสี และเบอร์ 2 สีทาอาคารภายใน 3-5 ปี คาดปีนี้ภาพรวมตลาดสีทาอาคารโต 10% ประกาศยุทธศาสตร์เดินหน้า “Inspired by you” กับแนวคิด “3C” ชูกลยุทธ์การตลาดครบเครื่อง ยกระดับความมั่นใจ พร้อมตอบโจทย์ทุกปัญหาและความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B และ B2C อย่างแท้จริง

นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสี “นิปปอนเพนต์” ในประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตสีรายใหญ่อันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 4 ของโลกจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่าปี 2566 ถือเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมากสำหรับนิปปอนเพนต์ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น จากปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริโภคในประเทศ และภาคท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาคึกคักขึ้น หลังจีนเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวออกเดินทางท่องเที่ยวได้ ทำให้โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่างๆ ต้องปรับปรุงตกแต่งอาคาร ร้านค้า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา นอกจากนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนยังมีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย ทำให้คาดการณ์ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง อีกปัจจัยบวกคือการย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศไทย ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากและการใช้จ่ายที่จะตามมาในอนาคต ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องจับตามองคือ การเลือกตั้ง ซึ่งยังต้องรอดูนโยบายใหม่ของรัฐบาลว่าจะเดินหน้าอย่างไร
สำหรับภาพรวมตลาดสีทาอาคารในปี 2566 หากรวมแบรนด์ใหญ่-เล็ก จะพบว่ามีเป็นจำนวนมาก โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ก็จะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันมีที่อยู่อาศัยและอาคารต่างๆที่ต้องการปรับปรุงอย่างต่อนเอง ดังนั้นสิ่งที่เห็นคือโอกาสที่จะเป็น Red Ocean แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่สูง แต่ก็เป็นการพัฒนานวัตกรรม ซึ่งสุดท้ายผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดก็คือผู้บริโภค โดยปัจจุบันนิปปอนเพนต์ฯมีส่วนแบ่งตลาดสีโดยรวม เป็นอันดับ 2 ในประเทศไทย คือมียอดขายเกือบ 10,000 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 50,000 ล้าบาท ซึ่งหาจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ได้ จะต้องมียอดขายเกิน 50% ของตลาดสีโดยรวมคือเกิน 15,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3-5 ปี ซึ่งนั่นหมายถึงว่าภายในระยะเวลาดังกล่าวนิปปอนเพนต์ฯจะต้องดันยอดขายขึ้นเป็นอันดับ 2 ด้วย จากปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 3-4 จากมูลค่าตลาดรวมสีทาอาคารที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท และคาดว่าในปีนี้ภาพรวมตลาดสีทาอาคารจะมีอัตราการเติบโตที่ 10%

โดยในปีนี้บริษัทยังมีความเชื่อมั่นว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้นจากภาคการผลิตและภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งนิยมซื้ออาคารสูงในไทยจะส่งผลให้ตลาดอาคารสูงกลับมาคึกคักและเดินหน้าก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดสีทาบ้านและอาคารกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้นิปปอนเพนต์เองเติบโตตามไปด้วย อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 25% พร้อมกับมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นและกลายเป็นผู้นำตลาดในที่สุด

“ในปี 2565 ตลาดสีทาบ้านและอาคารมีมูลค่ารวมกว่า 27,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 6% แบ่งออกเป็น ตลาดสีทาบ้านและอาคารที่จำหน่ายผ่านช่องทาง Modern Trade คิดเป็นสัดส่วน 30% มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 12-15% ตลาดสีทาบ้านและอาคารที่จำหน่ายผ่านช่องทาง Traditional Trade คิดเป็นสัดส่วน 50% มีการเติบโตแบบทรงตัว และตลาดสีทาบ้านและอาคารที่จำหน่ายตรง (Direct Sale) คิดเป็นสัดส่วน 20% มีการเติบโต 8-10% ขณะที่ในปี 2566 คาดว่าตลาดสีทาบ้านและอาคารจะเติบโตราว 10% ส่งผลให้มีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ล้านบาท ในขณะที่นิปปอนเพนต์ตั้งเป้าเติบโตที่ 25 %” นายวัชระ กล่าว

โดยปี 2565 นิปปอนเพนต์มียอดขายสูงสุด เป็นประวัติศาสตร์นับแต่จัดตั้งบริษัทและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยมีอัตราการเติบโตกว่า 30% ถือเป็นการเติบโตในทุกช่องทางทั้งกลุ่มลูกค้า ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ B2B Modern Tarde และ ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมTraditional Trade รวมถึงช่องทาง Online
“ปี 2565 นิปปอนเพนต์สามารถทำยอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ ถือเป็น New High เพราะเป็นการเติบโตครั้งแรกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นมา ทำให้วันนี้นิปปอนเพนต์มั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกกลุ่มลูกค้าพร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดสีทาบ้านและอาคารของเมืองไทย” นายวัชระ กล่าว

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 ปีที่มีการระบาดของโควิด19 ทำให้บริษัทต้องชะลอแทนที่จะอยู่ในช่วงของการ Take off แต่บริษัทก็เลือกที่จะ Reskill และ Upskill พนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมก้าวเดินได้ทันที เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ดังนั้นนับจากครึ่งหลังของปี 2565 จึงเป็นช่วงเวลาที่บริษัทเดินหน้าธุรกิจและประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จนสร้างยอดขายให้สูงเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ยังได้รับเสียงตอบรับจากพันธมิตรคู่ค้าที่ดีต่อเนื่องมาจนปี 2566
“สิ่งที่เราภาคภูมิใจคือลูกค้าในทุกเซ็กเตอร์ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการโครงการ (B2B) ตัวแทนจำหน่าย (Dealer) ต่างยอมรับและมองเห็นถึงศักยภาพของนิปปอนเพนต์ เห็นพัฒนาการที่ดีของทีมงาน ที่มีทักษะความพร้อม ความรู้ และช่วยแก้ปัญหา ให้คำปรึกษา แนะนำ รวมถึงใส่ใจในทุกรายละเอียด ทำให้พร้อมสนับสนุนและผลักดันให้ก้าวหน้าและเติบโต”

นิปปอนเพนต์เน้นการสร้าง Engagement กับลูกค้าในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา ช่างสี ฯลฯ รวมไปถึงโมเดิร์นเทรด หรือดีลเลอร์ และเพื่อรองรับดีมานด์ที่เกิดขึ้นในทุกๆกลุ่ม ในปีนี้จะเห็นการนำเสนอนวัตกรรมออกสู่ตลาดทั้งในกลุ่มสินค้าสีทาพื้น ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 500 ล้านบาทมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่มีผู้ประกอบการ รายใหญ่เพียงไม่กี่รายจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก รวมทั้งยังมีแผนนำสินค้าที่เป็นเรือธงออกมาทำตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย
ด้านนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยหลังโควิด-19 คลี่คลายรัฐบาลประกาศเปิดประเทศ การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคัก ทำให้ธุรกิจทั้งการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และภาคการผลิตเริ่มกลับมาขับเคลื่อนได้ ส่งผลให้ตลาดสีทาบ้านและอาคารกลับมาคึกคัก ขณะที่ “นิปปอนเพนต์ เดดโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด” เตรียมพร้อมตลอดเวลา ทั้งด้านการเตรียมแผนธุรกิจและบุคลากรที่พร้อมปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความท้าทายของทุกสถานการณ์ จึงทำให้บริษัทฯรองรับและเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ในปี 2566 บริษัทฯ ยังมาพร้อมกับวิสัยทัศน์ใหม่ “Inspired by you” ที่ว่าทุกสินค้าสี ระบบสี และบริการรวมถึง Solutions เริ่มต้นกระบวนการคิดจากความต้องการของลูกค้า ด้วยความตั้งใจที่พร้อมจะสร้างสรรค์สังคมอันยั่งยืนเคียงคู่ไปกับการส่งมอบประสบการณ์การใช้สินค้าและบริการที่น่าประทับใจ โดย Inspired by you นี้ยังเป็นคอนเซ็ปต์ในการทำงานของนิปปอนเพนต์ทุกประเทศทั่วเอเชีย
โดยกลยุทธ์การทำตลาดของนิปปอนเพนต์ในปี 2566 นี้ บริษัทฯยังคงเน้นเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสีทาบ้านและอาคาร หรือ The Coatings Expert ผ่าน Inspired by you กับแนวคิด “3C” ได้แก่
–Customer Centric – ตามปณิธานขององค์กร การยึดความต้องการของลูกค้าเพื่อเข้าใจ แก้ไขและป้องกันปัญหาสี เป็นสิ่งสำคัญ โดยนิปปอนเพนต์ต้องการสร้างความแตกต่าง เพื่อสร้างความประทับใจ การจดจำ และการบอกต่อถึงความเอาใจใส่
-Customized Solution – “เพราะความใส่ใจทำให้เราเชี่ยวชาญ” การศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการลูกค้าแต่ละบุคคล แต่ละองค์กรอย่างถ่องแท้ พร้อมนำเสนอ Solution ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ผ่านความเชี่ยวชาญที่นิปปอนเพนต์มีเสมอมาอย่างมากที่สุด เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาสี
-Concrete Innovation – การเดินหน้าคิดค้น วิจัยและพัฒนาเพื่อนำเสนอนวัตกรรมในทุกผลิตภัณฑ์สีอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสิ่งใหม่ที่สร้างประโยชน์ แก้ปัญหาและป้องกันได้จริง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสร้างการรับรู้ ความเข้าใจถึงความแตกต่างของสินค้าและบริการที่นิปปอนเพนต์มีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มได้เข้าถึง เกิดความมั่นใจและตัดสินใจเลือกใช้นิปปอนเพนต์ ซึ่งมีสินค้าหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการไม่ว่าจะเป็นสีน้ำ สีน้ำมัน สีรองพื้น สีกันสนิม สีเพื่อสุขภาพ ฯลฯ โดยนำเสนอผ่านแคมเปญต่างๆ ในรูปแบบการตลาดแบบบูรณาการ (Integrated Marketing) เนื่องจากทุกช่องทางการสื่อสารเชื่อมโยงกันและมีการเลือกใช้สื่อที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ในทุกมิติทั้งออนไลน์และออฟไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นกลุ่มลูกค้าทั้ง B2C (Business-to-Custome) และ B2B (Business to Business)






