“บิวท์ ทู บิวด์”สอนมวยรับสร้างบ้านอย่าโลภรับงานเกินตัวระวังเจ๊ง! ปี’66 ปักหมุดลูกค้ากทม.-ปริมณฑล เจาะบ้านราคา 2-20 ล้านบาทขึ้นไป

บิวท์ ทู บิวด์ เผยวิกฤติโควิด-19 พ่นพิษรับสร้างบ้านโลภรับงานเกินตัว บริหารจัดการไม่ดี ต้องปิดกิจการ ระบุลูกค้าที่มีแบรนด์ในใจยินดีควักเงินเพิ่มแลกกับการได้บ้านตามกำหนด ด้านภาพรวมตลาดปีกระต่ายคาดเริ่มฟื้นตัว แต่โตในบางเซกเตอร์ แนะธุรกิจรับสร้างบ้าน งานก่อสร้างต้องควบคู่กับการตลาด จับตาเงินเฟ้อยังเป็นอุปสรรคและปัจจัยลบ  ปี 66 ยังเน้นลูกค้ากทม.ปริมณฑล สวนกระแสตลาดตจว.ที่ยังไม่ฟื้นตัว ตั้งเป้ายอดจองที่ 1,200 ล้านบาท  แย้ม 2 เดือน มีลูกค้าจองคิดเป็นมูลค่าแล้วเกือบ 200 ล้านบาท
นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านชะลอตัวไป  บางบริษัทรับงานมากจนเกินตัว และไม่สามารถบริหารจัดการได้ดี เมื่อเกิดวิกฤติก็ไม่สามารถส่งบ้านให้ลูกค้าได้ ส่งผลให้ต้องปิดกิจการไป แต่ในปี 2564 ดีมานด์เริ่มกลับมา และจะมีการเลือกใช้บริการบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นแบรนด์ในใจของลูกค้า แม้จะมีราคาสูง ต้องจ่ายเพิ่มอีกประมาณ 5-10% ก็ยินยอม เพื่อแลกกับการไม่ต้องเสี่ยงที่จะไม่ได้บ้าน ลูกค้าก็พร้อมที่จะเลือกใช้บริการเพื่อที่จะได้บ้านตามกำหนดระยะเวลา

ส่วนภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปี 2566 น่าจะฟื้นตัวดีกว่าปี 2565 โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง ที่ตัวเลขจีดีพีจะดีกว่าครึ่งปีแรก แต่จะมีอัตราการเติบโตในเฉพาะบางเซกเตอร์ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม ที่มีอัตราการเติบโตมาก ขณะที่ธุรกิจรับสร้างบ้านคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 5-7% แม้ว่าบางสมาคมจะให้ข้อมูลว่าตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดยังไม่ค่อยฟื้นตัวก็ตาม แต่ภาคธุรกิจฯนั้นมองว่าแบรนด์จะเติบโตเพียงอย่างเดียวไม่ได้งานด้านการก่อสร้างต้องควบคู่กับไปการตลาดด้วย ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อก็ยังเป็นอุปสรรคและปัจจัยลบอยู่ ซึ่งต้องคอยเฝ้าระวัง

“จากวิกฤติโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทดีสวนกระแสตลาดมาโดยตลอด เพราะเราดำเนินธุรกิจอย่างไม่ประมาท งานก่อสร้างต้องควบคู่ไปกับการตลาด และต้องมีกระแสเงินสดรองรับด้วย ทำให้ปี 2564 ที่ผ่านมามียอดจองบ้านของลูกค้าเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท จากปี 2563 อยู่ที่ 700 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 ตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 ล้านบาท แต่มียอดจองถึง 1,100 ล้านบาท และในปี 2566 ตั้งเป้ายอดจองที่ 1,200 ล้านบาท”นายสุธี กล่าว

นายสุธี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลยุทธ์การตลาดของกลุ่มบริษัทฯในปีนี้จะยังคงเน้นกลุ่มลูกค้าในกทม.-ปริมณฑล เช่นเดิม ใน 3 กลุ่มเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ได้แก่ บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ก่อสร้างบ้านระดับราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป มีลูกค้าในสัดส่วน 20% ,บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ก่อสร้างบ้านระดับราคาตั้งแต่ 8-20 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 40%  และบริษัท สมอลล์เฮาส์บิวเดอร์ จำกัด ก่อสร้างบ้านระดับราคาตั้งแต่ 2-8 ล้านบาท สัดส่วน 40%  โดยรับงานก่อสร้างบ้านอย่างระมัดระวัง เน้นงานฝ่ายก่อร้างและหาผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีคุณภาพ ส่งมอบงานตรงตามระยะเวลา ด้านแบบบ้านปัจจุบันมีให้ลูกค้าเกือบ 200 แบบ และในช่วงระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา มีลูกค้าจองรับสร้างบ้าน คิดเป็นมูลค่าแล้วเกือบ 200 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นตัวเลขที่น้อย แต่คาดว่าจะเริ่มมีลูกค้าจองมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2566 เป็นต้นไป

โพสที่เกี่ยวข้อง