โจนส์แลงก์ ลาซาลชี้ภาพรวมตลาดอสังหาฯกลับมาฟื้นตัว ไตรมาสแรกดีเวลอปเปอร์แห่ซื้อ/เช่าที่ดินระยะยาวที่ดินมูลค่ารวมสูงถึง 7.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ตลาดคอนโดฯลักชัวรีของกรุงเทพฯมราคาขายเฉลี่ยแตะ 211,500 บาทต่อตารางเมตร
นายไมเคิล แกลนซี กรรมการผู้จัดการ บริษัทโจนส์แลงก์ ลาซาล จำกัด เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้นทั่วโลก จะส่งผลกระทบให้เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นของไทย ทำให้มีนักลงทุนจำนวนมากชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ แต่ในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และเชื่อว่าจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แม้โดยทั่วไปดีมานด์หรือความต้องการในตลาดอสังหาฯจะมีความสัมพันธ์กับสภาพเศรษฐกิจ แต่ในกรณีของประเทศไทย มีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจในปีนี้ยังคงขยายตัว โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจการท่องเที่ยว โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีนักท่องเดินทางเข้ามาเมืองไทยแล้วมากกว่า 11 ล้านคน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยแม้จะมีการปรับตัวสูงขึ้น แต่โดยทั่วไปยังคงอยู่ในแดนต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่สามารถควบคุมระดับได้ตามเป้า
ดังนั้นกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ยังคงเป็นผู้ซื้อกลุ่มหลักในตลาดการซื้อขายที่ดิน ทั้งที่ดินที่ขายกรรมสิทธิ์ขาดและที่ดินให้เช่าระยะยาว เห็นได้จากธุรกรรมการซื้อ/เช่าระยะยาวที่ดินโดยบริษัทพัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ในไตรมาสแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวมสูงถึง 7.7 หมื่นล้านบาท เทียบกับยอดการซื้อที่ดินของทั้งปี 2565 และปี 2564 ที่มีมูลค่ารวม 7.1 หมื่นล้านบาท และ 5.6 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
ราคาคอนโดฯขยับเฉลี่ย 211,500 บาทต่อตร.ม.
ส่วนภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันมีคอนโดฯลักชัวรีที่สร้างเสร็จแล้วรวมประมาณ 73,000 ยูนิต ในจำนวนนี้มียูนิตเหลือขายอยู่เพียง 4.9% เท่านั้น ขณะที่ซัพพลายใหม่เพิ่มขึ้นในปริมาณที่จำกัด ส่วนราคาเฉลี่ยโดยรวมของคอนโดฯกลุ่มนี้เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ช่วงไตรมาสแรกขยับเพิ่มขึ้น 0.6% จาก 12 เดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่เฉลี่ยตารางเมตรละ 211,500 บาท ขณะที่ตลาดคอนโดฯลักชัวรี่ให้เช่าได้ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30%
โดยกลุ่มชาวไทยยังคงเป็นผู้ซื้อหลักในตลาดคอนโดฯกลุ่มนี้ ส่วนกำลังซื้อจากชาวต่างชาติกำลังกลับเข้ามาในตลาดหลังมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศถูกยกเลิก
ผู้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้าเพิ่ม กลุ่มธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่มมาแรง
ด้านภาพรวมของตลาดศูนย์การค้า ปัจจุบันในพื้นที่กรุงเทพฯ มีพื้นที่ศูนย์การค้ารวมทั้งสิ้น 3.6 ล้านตารางเมตร และมีพื้นที่ว่างเหลือเช่าเพียง 5% โดยกลุ่มธุรกิจบริการอาหารและเครื่องดื่มเป็นกลุ่มผู้เช่าที่มีการเช่าพื้นที่มากที่สุด เพราะจำนวนลูกค้าที่ซื้อสินค้าบริการเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้มีผู้ประกอบการค้าปลีกสนใจขยายสาขาหรือเข้ามาเปิดกิจการในศูนย์การค้าชั้นดีของกรุงเทพฯ มากขึ้น เฉพาะในไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการค้าปลีกแบรนด์สินค้าและบริการมากกว่า 36 รายประกาศแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในกรุงเทพฯ
ค่าเช่าโรงแรมในกทม.ขยับเพิ่ม ซัพพลายใหม่ 8,400 ห้องพร้อมให้บริการในปีนี้
สำหรับภาคธุรกิจโรงแรมทุกระดับของกรุงเทพฯ ยังคงฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้เทียบกับ 12 เดือนก่อนหน้า มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักจากจำนวนห้องพักที่เปิดให้บริการทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 310% สำหรับกลุ่มโรงแรมระดับ 4-5 ดาว และเกือบ 220% สำหรับกลุ่มโรงแรมระดับ 3 ดาวและกลุ่มโรงแรมราคาประหยัด
การปรับตัวดีขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักดังกล่าว เกิดจากอัตราการเช่าใช้บริการห้องพักและค่าบริการห้องพักรายวันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลจากการฟื้นตัวของของภาคธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้ประเมินว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อไปในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากมีซัพพลายใหม่อีกจำนวน 8,400 ห้องที่จะเข้ามาในตลาดในปีนี้ ทั้งจากโครงการต่างๆ ที่เคยปิดตัวลงในช่วงโควิดแล้วกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง และโครงการโรงแรมที่เคยชะลอการก่อสร้างโครงการและกลับมาดำเนินการต่อจนแล้วเสร็จ
