AWC เติบโตก้าวกระโดดรับกระแสธุรกิจท่องเที่ยวฟื้น เดินหน้าเพิ่มโครงการ-จำนวนห้องพัก

You are currently viewing AWC เติบโตก้าวกระโดดรับกระแสธุรกิจท่องเที่ยวฟื้น เดินหน้าเพิ่มโครงการ-จำนวนห้องพัก

แอสเสท เวิรด์ คอร์ปแจงรายได้ไตรมาส2 รวม 4,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนจากกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ รวมถึงอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) 3,356 บาท สูงขึ้น 82.1%เดินหน้าเพิ่มทรัพย์สินและยกระดับโครงการในพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ GROWTH-LED

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทแอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 ว่า บริษัทมีรายได้รวมกว่า 4,518 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่าปี 2562 โดยยังคงมุ่งพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ เปลี่ยนทรัพย์สินกำลังพัฒนา เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน ควบคู่กับการยกระดับโครงการในพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ สอดคล้องกับกลยุทธ์ GROWTH-LED เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวม 120,307 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 36,996 ล้านบาท คิดเป็น 44.4% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562

“ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 มีการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการกลับมาของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมามีการกลับมาจัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นปีแรกหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักโรงแรมในเครือ AWC เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน”

ส่งผลให้อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวมสูงถึง 3,356 บาท เพิ่มขึ้น 82.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 10% รวมถึงมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) เท่ากับ 5,367 บาทต่อคืน เติบโต 25.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่งผลให้การดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) อยู่ที่ 660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะโรงแรมในกลุ่มประชุมสัมมนา และกลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ ซึ่งมีค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 218 เป็นต้น

นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งพัฒนาทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ การเปิดตัวโรงแรม ‘INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit’ แห่งแรกในประเทศไทยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เจาะกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่

รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Nobu Hospitality ร่วมสร้างโรงแรมระดับอัลตร้าลักชูรี่ 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ได้แก่ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก  และโรงแรมเดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก เพื่อเชื่อม 2 มหานครคือนิวยอร์กและกรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด River Journey Project

ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการจำนวน 22 โรงแรม จำนวนห้องพักรวม 5,794 ห้อง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 23 โรงแรมภายในสิ้นปีนี้ รวม 6,034 ห้อง คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้น 76% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ที่มีจำนวนห้องพัก 3,432 ห้อง ประกอบกับอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักที่สูงขึ้นกว่าปีก่อน ส่งผลให้มีรายได้ 2,287 ล้านบาท เติบโต 76.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการยกระดับอาคารให้เป็นไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ อาทิ การเปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ของอาคารเอ็มไพร์  สร้างความแตกต่างจากอาคารสำนักงานรูปแบบเดิม ช่วยรักษาฐานผู้เช่าเก่า พร้อมดึงดูดผู้เช่าใหม่ที่มองหาอาคารสำนักงานคุณภาพ ที่มีพื้นที่ตอบรับเทรนด์การทำงานในรูปแบบไฮบริดที่เพิ่มสูงขึ้น

ด้านกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้าสามารถเติบโตได้ดีเช่นกัน ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวเติบโตของดัชนียอดขายของร้านค้า และบริษัทได้พัฒนาพื้นที่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าอยู่เสมอ โดยโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีจำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นถึง 47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการจัดกิจกรรม ‘Disney100 Village at Asiatique’ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในการเป็นจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวและด้านอาหารเครื่องดื่มระดับโลกที่ช่วยดึงดูดจำนวนผู้เช่าและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

รวมทั้งการเปิดตัวโครงการ THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ แลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และโครงการ THE PANTIP AT NGAMWONGWAN โฉมใหม่ภายใต้แนวคิด “TREASURE HUNT” สู่การเป็นศูนย์พระเครื่อง และศูนย์รวมอาหารและไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุด