ตลาดคอนโดฯ-บ้านตากอากาศเมืองท่องเที่ยวฟื้นตัว เม็ดเงินลงทุนสะพัด 5.6 หมื่นล้าน

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองท่องเที่ยวใน3พื้นที่หลักคือ ภูเก็ต,พัทยา หัวหิน-ชะอำ-ปราณบุรีในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยมีมูลค่าการลงทุนในตลาดคอนโดมิเมิเนียมสูงกว่า 56,000 ล้านบาท โดยเฉพาะการลงทุนคอนโดฯในเมืองภูเก็ตและพัทยาสูงกว่ามูลค่าการลงทุนคอนโดฯในตลาดกรุงเทพฯเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาทั้งในด้านจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่และมูลค่าการลงทุน โดยในพื้นที่กรุงเทพฯมีการเปิดตัวคอนโดฯใหม่แค่  3,200 ยูนิต ขณะที่เมืองพัทยามีการเปิดตัวคอนโดฯใหม่ 4,600 ยูนิต และเมืองภูเก็ตเปิดตัว 3,300 ยูนิต

ตลาดคอนโดฯภูเก็ตคึกคัก คาดทั้งปีมีซัพลายเปิดใหม่ 8,500 ยูนิต

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมาตลาดคอนโดฯเมืองภูเก็ตมีการเปิดตัวอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 8,700 ยูนิตและเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 12 โครงการ จำนวน 3,338 ยูนิต มูลค่าการลงทุน 25,059 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าการลงทุนที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา เป็นหนึ่งในโครงการใหม่ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดทั้งจากลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยคาดว่าตลอดทั้งปีนี้จะมีซัพพลายใหม่เข้ามาในตลาดมากกว่า 8,500 ยูนิต

สอดรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้มาในเมืองภูเก็ตเป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 12ล้านคน สร้างเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวได้มากถึง 580,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ประมาณ 1ใน3ของจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในเมืองภูเก็ตเป็นหลัก

สำหรับทำเลที่มีการเปิดตัวคอนโดฯและวิลล่ามากที่สุดในเมืองภูเก็ต จะอยู่ในพื้นที่โซนตะวันตก ตั้งแต่หาดไม้ขาว หาดบางเทา เชิงทะเล หาดสุรินทร์ และฝั่งตะวันตกตอนล่าง ย่านหาดกมลา ป่าตอง และกะรน โดยราคาคอนโดฯที่มีการเปิดตัวมากที่สุดจะอยาในช่วงราคา 3-5 ล้านบาท และราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งมีประมาณ 8,000 ยูนิต  ขณะที่ห้องชุดแบบ 1ห้องนอนมีอัตราการขายได้มากที่สุดถึง 70% แต่ห้องชุดแบบดูเพล็กซ์ ห้องเพนท์เฮาส์ถือเป็นสินค้าที่สามารถปิดการขายได้เร็วที่สุด

ปัจจุบันในเมืองภูเก็ตมีซัพพลายคอนโดฯที่อยู่ระหว่างการขาย87โครงการประมาณ 25,591 ยูนิต ขายออกไปได้แล้ว 16,905 ยูนิต ทำให้ยังมีซัพพลายเหลือขายอยู่ในตลาดประมาณ 8,686 ยูนิต

ส่วนตลาดบ้านพักตากอากาศแบบวิลลาในเมืองภูเก็ต ในปี 2566 ที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่มากถึง 30 โครงการ เฉลี่ยโครงการละ 5-6 ยูนิตเท่านั้น และในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่ม 10โครงการ ประมาณ 237 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 9,500 ล้านบาท ทำให้คาดการณ์ว่าทั้งปีจะมีการเปิดตัววิลลาเข้ามาในตลาดประมาณ 700 กว่ายูนิต โดยยังคงกระจุกตัวอยู่ในฝั่งตะวันตกของเกาะภูเก็ตเช่นเดียวกันกับตลาดคอนโดฯ  โดยเฉพาะในโซนบางเทา เชิงทะเล และพื้นที่รอบลากูน่า

โดยราคาขายบ้านแบบวิลลาที่ได้รับความนิยมจะมีราคาต่ำกว่า 30 ล้านบาทต่อยูนิต และราคา30- 50 ล้านบาท ส่วนระดับราคา 100 ล้านบาทขึ้นไปก็มีการเปิดตัวเข้ามาในตลาดมากขึ้นและมีอัตราการดูดซับค่อนข้างดี โดยเฉพาะระดับราคา 200 ล้านบาทขึ้นไปมีอัตราการดูดซับมากว่า 70% และหลายโครงการได้ปิดการขายได้ค่อนข้างเร็ว โดยกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นชาวรัสเซีย ทั้งที่ซื้อเพื่อการลงทุนและอยู่อาศัยเอง

ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส1ปี 2567 พบว่า มีอุปทานอยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 117 โครงการ จำนวน 2,545 ยูนิต และสามารถขายออกไปได้แล้ว 1,220 ยูนิต ทำให้มีสินค้ารอการขายอยู่ที่ 1,382 ยูนิต โดยมากว่า 98% เป็นบ้านเดี่ยว ในอยู่ในระดับราคาต่ำกว่า 30 ล้านบาทเป็นส่วนใหญ่ประมาณ 39.89% รองลงมาเป็น

สำหรับผู้ประกอบการที่มีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดคอนโดฯเมืองภูเก็ต คือ ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และกลุ่มแสนสิริ ส่วนผู้ประกอบการในท้องถิ่นที่มีมาร์เก็ตแชร์มากที่สุด คือ กลุ่มลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล และเจ้าตลาดในกลุ่มบ้านวิลลา คือ โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต

“ตลาดบ้านพักวิลลาในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากลุ่มคนซื้อทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทั้งชาวเยอรมัน เดนมาร์ก และกำลังซื้อจากต่างชาติในกลุ่มเอเซีย เช่น จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ทำให้บ้านพักตากอากาศหลายโครงการสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 80% ในช่วงระยะเวลาสั้นำหลังจากที่ได้เปิดขายพรีเซล”
ตลาดคอนโดฯเมืองพัทยามีอุปทานใหม่ 7,000 ยูนิตสูงสุดรอบ 5 ปี

ส่วนตลาดคอนโดฯในเมืองพัทยาช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เกิดภาวะโอเวอร์ซัพลลายอย่างชัดเจน แต่หลังจากที่โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ตลาดคอนโดฯในเมืองพัทยาได้มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการประมาณ 4,493 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 16,100 ล้านบาท ตั้งอยู่ในย่านจอมเทียนและใจกลางเมืองพัทยา

โดยนับตั้งแต่ครึ่งแรกปี 2554-ไตรมาสแรกปี 2567 มีอุปทานเปิดขายใหม่ในตลาดคอนโดฯทั้งหมด 112,671 ยูนิต พื้นที่จอมเทียนมีการเปิดตัวโครงการมากที่สุด 44,692 ยูนิต รองลงมาเป็นที่เขาพระตำหนัก 21,214 ยูนิต และพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยา 21,077 ยูนิต

ส่วนในปี 2567 นี้คาดว่าในช่วง 3ไตรมาสที่เหลือจะมีคอนโดฯเปิดขายใหม่เข้ามาในเมืองพัทยาประมาณ 3,000 ยูนิต  ส่งผลให้มีปีนี้จะมีอุปทานใหม่เข้ามาในตลาดประมาณกว่า 7,000 ยูนิต ถือว่าสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาลงทุน อาทิ กลุ่มออริจิ้นฯ แสนสิริ และแอสเซท ไวส์

ทั้งนี้จากอุปทานท่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในช่วงไตรมาส 1 จำนวน 47,800 ยูนิต สามารถปิดการขายได้แล้ว 35,471 ยูนิต ทำให้มีสินค้ารอการขายเหลือยอยู่ประมาณ  11,329 ยูนิต โดยทำเลที่ทำยอดขายได้มากที่สุด คือ พื้นที่ใจกลางเมืองพัทยา รองลงมาเป็นหาดจอมเทียน และนาจอมเทียน

ตลาดคอนโดฯหัวหินฟื้นตัว-ชะอำรอระบายสต็อก

ขณะที่ตลาดคอนโดฯในพื้นที่หัวหินยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าและผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 2โครงการจำนวน 671 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นอุปทานเปิดใหม่ที่สูงสุดในรอบ 12ไตรมาส มูลค่าโครงการรวม 6,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2โครงการพัฒนาโดยกลุ่มแสนสิริ ส่วนทำเลที่ได้รับความสนใจจะอยู่ในพื้นที่ฝั่งทะเลและหัวหินฝั่งภูเขา

ส่วนตลาดคอนโดฯในพื้นที่ชะอำไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่เข้ามาเพิ่มนับตั้งแต่ปี 2559 โดยคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีนี้จะไม่มีโครงการเปิดตัวใหม่ในพื้นที่ชะอำ เนื่องจากในพื้นที่ชะอำยังมีสนค้ารอการขายเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นโครงการที่สร้างเสร็จแล้วรอการขาย

โดยพบว่า ณ ไตรมาส 1 มีอุปทานที่อยู่ระหว่างงการขายทั้งหมด 15,790 ยูนิต ขายออกไปได้แล้ว 11,150 ยูนิต ทำให้มีสินค้ารอการขายอยู่ในตลาด 4,675 ยูนิต

โพสที่เกี่ยวข้อง