“เราออกแบบร้านให้ Basic ที่สุด ไม่มีการตกแต่งที่สวยงาม แต่จัดสินค้าให้เป็นระเบียบอยู่ในรูปแบบของความเหมาะสม แข็งแรง ปลอดภัย สะดวก หาซื้อสินค้าง่าย ร้านเราไม่ได้สวยหรูที่เห็นแล้วสร้างฟีลให้เกิดความต้องการซื้อ เพียงแต่เราต้องการให้ซื้อสินค้าของเราด้วยตวามต้องการที่จำเป็นต้องใช้”
คำพูดของ “สุทธิสาร จิราธิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ที่เล่าให้ฟังถึงการพัฒนา ไทวัสดุ และเลือกที่จะจัดวางสินค้าที่เป็นระเบียบ ง่ายต่อการซื้อหา และต้องการให้ผู้ซื้อ ซื้อสินค้าที่เกิดขึ้นจากความจำเป็นที่ต้องการใช้จริงๆเท่านั้น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 ถือเป็นการกำเนิด “ไทวัสดุ” เกิดขึ้นโดยสาขาตั้งอยู่ย่านบางบัวทอง ที่มียอดขายและอัตราการเติบโตขึ้นอยู่ต่อเนื่องจนส่งผลให้ในปี 2561 มีการขยายสาขามากถึง 40 สาขา ภายในระยะเวลาเพียง 8 ปี เท่านั้น และสร้างยอดขายรวมมากกว่า 21 ล้านบาท ถือเป็นปรากฎการณ์และแรงสั่นสะเทือนต่อกลุ่มธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสรา้งและสินค้าตกแต่งบ้าน ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้งในช่วงวิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้ยอดขายตกลง จึงเร่งพัฒนา E-Commerce เพื่อเป็นช่องทางการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เติมเต็มทุกรูปแบบของการขายสินค้าแบบไร้รอยต่อสู่ขายแบบ Omnichannel และพร้อมเดินหน้าสู่การเติบโตครั้งใหม่ ที่เมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมานั้น สามารถสร้างยอดขายทะลุเป้าไปได้กว่า 40,000 ล้านบาท
“การเติบโตของช่องทางการขายออนไลน์ตั้งแต่ปี 2563 – 2566 ที่ได้รับแรงผลักดันต้องปรับตัวจาก วิกฤติ COVID 19 และ Digital Disruption ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค จึงทำให้เร่งพัฒนาระบบ E-Commerce เพื่อขายสินค้าและให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เต็มรูปแบบทุกช่องทาง พัฒนาเพื่อสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ ซึ่งมียอดขายพุ่งแตะระดับ 1,400 ล้านบาท ภายในเวลา 4 ปี อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ถึง 145% มีลูกค้าใหม่ที่ ช็อปออนไลน์มากกว่า 5,000 คน/เดือน ครองใจลูกค้าเดิมให้มีการซื้อซ้ำถึง 60% และซื้อเฉลี่ย (basket size) สูงขึ้น 12%YoY โดยจำนวนลูกค้าในภาพรวมที่ซื้อทั้งหน้าร้านและออนไลน์ (Omnichannel Customers) เติบโตสูงขึ้น 46%YoY จากตัวเลขดังกล่าวช่วยการันตีได้ว่าในทุกช่องทางการขายสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน” สุทธิสาร กล่าว
14 ปี แห่งความสำเร็จของไทวัสดุ
จากการดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลารวมกว่า 14 ปี ด้วยงบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตขึ้นเฉลี่ย 11% ต่อปี ส่งผลให้เป็นแรงผลักดันสู่การขยายสาขาเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค โดยปัจจุบัน ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมีสาขาทั้งหมด 90 สาขา ครอบคลุม 47 จังหวัดทุกภูมิภาค พร้อมยกระดับการช้อปปิ้งให้ตรงใจลูกค้ามากที่สุดเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เรื่องงานช่างและเรื่องบ้าน โดยมีการเพิ่มกลุ่มสินค้า อาทิ Solar World กลุ่มสินค้าโซล่าร์เซลล์ที่ครบครันในทุกฟังก์ชันคุณภาพมาตรฐาน Tier 1 พร้อมแพคเกจติดตั้ง โซนเฟอร์นิเจอร์โฉมใหม่แบรนด์ CALINA ที่ยกระดับความหลากหลายสำหรับทุกห้องภายในบ้าน เน้นคอนเซปต์ DIY Wardrobe ที่มีบริการออกแบบ 3D ให้ลงตัวตามพื้นที่ และงบประมาณ Bike Shop โซนจักรยานเพื่อทุกคนในครอบครัวที่รักการออกกำลังกาย Consumer Electrics แผนกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ชั้นนำ Line up Range ครบทุกขนาดและฟังก์ชั่น บนพื้นที่ดิสเพลย์กว่า 1,000 ตร.ม. และ Construction Showroom ที่ไทวัสดุเป็นเจ้าแรกในวงการที่จัดทำห้อง Construction Showroom เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อสินค้าโครงสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นเรื่องง่าย โดยได้รวบรวมสินค้าจริงกว่า 5,000 รายการ จัดดิสเพลย์ตัวอย่างวัสดุ ข้อมูลสินค้าเชิงลึก และโซลูชั่นต่างๆ ในพื้นที่กว่า 450 ตร.ม.
“เมื่อก่อนทุกคนรู้จักไทวัสดุว่า ขายเหล็ก ขายสี ขายปูน ไม่เคยรู้มาก่อนว่าไทวัสดุขายเฟอร์นิเจอร์ ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องกินข้าว ห้องอ่านหนังสือ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 สินค้ากลุ่ม Office Furniture ขายดีเป็นอย่างมากและยีงมีบริการออกแบบห้องครัว ตู้เสื้อผ้า พื้นที่ Walk-in Closet เป็นต้น”
ซึ่ง สุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ได้ไอเดียจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มองเห็นว่าคนสร้างบ้านทำไมต้องไปเลือกเฟอร์นิเจอร์อีกที่นึงจึงสร้างและควบรวมพื้นที่สินค้าให้เกิดขึ้นภายในทีเดียวกันภายใต้แบรนด์ บีเอ็นบี โฮม ซึ่งขายสินค้าตกแต่งบ้านที่ลูกค้าสามารถเลือกและสั่งตามออเดอร์ได้ตามความต้องการ
ปักหมุด 103 สาขาทั่วไทย มองอนาคต 5 ปี ยอดขายแตะ 70,000 ล้านบาท
แม้ในไตรมาส 1/67 ที่ผ่านกำลังซื้อของผู้บริโภคไม่ค่อยดีมากนัก เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ส่งผลโดยตรงกับอุตสาหกรรมการก่อสร้าง แต่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีในไตรมาส 2 หากทางรัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมหรือช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายจะยิ่งส่งผลให้ระยะเวลาที่เหลืองของปี 2566 นี้ มีทิศทางสดใสและน่าจะดีขึ้นตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามในปี 2567 บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดสาขาเพิ่มโดยแบ่งออกเป็น ไทวัสดุ 9 สาขา และ บีเอ็นบี โฮม 4 สาขา ส่งผลให้สาขารวมทั้งหมดของบริษัท ณ สิ้นปีมีทั้งหมด 103 สาขา และมีพื้นที่รวม 1,400,000 ตร.ม. โดยวางงบประมาณลงทุนปีละ 7,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเดินหน้าปักธง 5 ปี (2567 – 2571) ด้วยการเติบโตขึ้นเฉลี่ย (CAGR) 12% ต่อปี และมีส่วนแบ่งการตลาดด้วยยอดขายแตะ 70,000 ล้านบาท ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งครบวงจร “No.1 Omnichannel DIY Home Ratailer” ช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO2 ถึง 7,000 ตัน ทั้งนี้ แม้ว่าต้นทุนราคารถพ่วง EV Truck จะสูงกว่ารถบรรทุกดีเซล แต่ในระยะยาวจะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง และการดูแลเครื่องยนต์ลดลงได้ถึง 16% ต่อปี
“ไทวัสดุ ยังมุ่งมั่นและเดินหน้าตามกลยุทธ์การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อมั่นได้ว่าในอีก 5 ปี ข้างหน้านี้ ไทวัสดุ จะก้าวขึ้นสู่การเป็นสุดยอดผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ที่สามารถสร้างความยั่งยืนในทุกมิติทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”
14 ปี แห่งความสำเร็จของไทวัสดุ
ปักหมุด 103 สาขาทั่วไทย มองอนาคต 5 ปี ยอดขายแตะ 70,000 ล้านบาท





