เติบโตแบบก้าวกระโดดภายในเวลาไม่กี่ปี สำหรับบริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “VBEYOND” โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาทำกำไรสุทธิได้ 112 ล้าบาทสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเมื่อปี 2557 ส่วนรายได้อยู่ที่ 303.9 ล้านบาท และยอดขาย1,614 ล้านบาท พร้อมวางเป้าหมายภายในปี 2567นี้จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลุ่ม SET หมวดอสังหาริมทรพย์ หลังจากได้เตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำหรับเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO ในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้

นายวรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตเป็น Property Technology Company (Prop Tech) เพื่อให้บริการกลุ่มลูกค้าแบบครบวงจรในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัยหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของ Property Mall แพลตฟอร์ม AI อัจฉริยะที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่การซื้อ ขาย เช่า ซ่อม สร้าง ตกแต่ง และลงทุน รวมถึงมีอสังหาฯหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ที่ดิน คอนโดฯ โฮมออฟฟิศ หรือบริการเรียกช่างผู้รับเหมา ซื้อวัสดุก่อสร้าง ซื้อของใช้ภายในบ้าน รวมไปถึงการจัดพอร์ตลงทุนในอสังหาฯอีกด้วย
นอกจากนี้ยังเป็นนายหน้าด้านบริการเช่าอสังหาฯทุกประเภททั้งบ้าน คอนโด ที่ดินเปล่า ออฟฟิศสำนักงาน และโกดัง ส่วนในอนาคตมีแผนเป็นตัวแทนจัดหาและจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้ภายในที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุนธุรกิจหลักของบริษัท
โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิเติบโต 200-300%จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 112 ล้านบาท และรายได้เติบโตประมาณ 500-1,000% โดยสัดส่วนรายได้ระหว่างธุรกิจนายหน้ากับรายได้จากบ้านอินโนเวชั่นอยู่ที่ 70% : 30% ของฐานรายได้รวม ล่าสุดมีสต็อกสินค้ารอขายหรืองานที่รับบริหารที่ได้เซ็นสัญญาแล้วอยู่ในมือมูลค่า 24,000 ล้านบาททั้งการเป็นตัวแทนและนายหน้าซื้อขายอสังหาฯจากโครงการของบริษัทมหาชนและบริษัทนอกตลาด รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น Property Broker และ Broker Construction รวมถึงที่ดินเปล่ารอการขาย

รวมทั้งยังมีรายได้มาจากบริษัทในเครือ คือ บริษัทบ้านดีอินโนเวชัน ที่ทำธุรกิจซื้อขายบ้านมือสอง โดยมีการซื้อสินทรัพย์มาจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ ลูกค้ารายย่อยทั่วไป และจากโครงการจัดสรร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาททั้งทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยนำมารีโนเวตบ้านใหม่และเพิ่มระบบอิโนเวชันเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งปัจจุบันมีสต็อกสินค้ารอขายในพอร์ตประมาณ 100 ยูนิตมูลค่า 300 ล้านบาท โดยคาดว่าจะทำรายได้แบบนิวไฮต์ในปีนี้ด้วย โดยตั้งเป้าจะเพิ่มสต็อกสินค้าเข้ามาในพอร์ตปีนี้ประมาณ 700 ยูนิตเพื่อรอขายในปีหน้า
“ในปีนี้ผู้ประกอบการทั้งในตลาดและนอกตลาดหลักทรัพย์จะมีการเร่งระบายสต็อกสินค้าในมือออกไปให้ได้มากที่สุด เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งไปจ่ายคืนเงินกู้ที่ครบกำหนดชำระคืนในปีนี้ ทำให้บริษัทมีโอกาสที่จะตัดล็อตสินค้าบางส่วนออกมาขาย ในช่วงไตรมาสไตรมาส 3-4ปีนี้และช่วงไตรมาส 1ปีหน้า โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนส่วนหนึ่งมาวางเงินมัดจำให้กับผู้ประกอบการ รวมทั้งนำไปใช้สำหรับการรีโนเวตบ้านเพื่อออกมาขายใหม่”
โดยล่าสุดบริษัทมีสต็อกสินค้าบ้านใหม่ที่ขายได้แล้วรอโอนในมือประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยซื้อสินค้ายกล็อตมาจากผู้ประกอบการแล้วนำมาขายใหม่ในตลาด รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ได้นำกลุ่มลูกค้าที่ถูกสถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อมาให้บริษัทรับดูแล มีตั้งแต่ระดับราคา 2ล้านบาทไปจนถึง 10 ล้านบาท โดยบริษัทได้จับมือกับพันธมิตรที่ทำธุรกิจเกี่ยวเช่าซื้อและ Capital ที่มีเงินทุนจะนำมาปล่อยเช่าซื้อให้กับลูกค้าได้ประมาณ 3.000-4,000ล้านบาท เพื่อให้ลูกค้าลูกค้าที่ทำอาชีพอิสระสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในรูปแบบเช่าซื้อ โดยวางเงินดาวน์ 10-20% หลังจากนั้นก็ผ่อนค่างวดกับแผนก Wealth Invesmenth ประมาณ 3ปี โดยอัตราดอกเบี้ยที่ลูกค้าจ่ายจะสูงกว่าสถาบันการเงินทั่วไปอยู่ในอัตรา 8-15% ซึ่งหลังจากผ่อนค่างวดกับบริษัทครบ 3ปีแล้วบริษัทก็จะทำเรื่องยื่นกู้กับสถาบันการเงินต่อไป





