Hyatt เตรียมปิดดีลใหญ่ทุ่มเงินกว่าหมื่นล้านซื้อหุ้น 71% จากแสนสิริสานต่อเชนโรงแรม Standard International

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจ้งว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2567 ได้ตกลงจำหน่ายส่วนได้เสียในความเป็นเจ้าของในกิจการที่ถืออยู่ทั้งหมดใน  Standard International Management, LLC. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 71% โดยถือผ่าน Sansiri (US), Inc.บริษัทย่อยซึ่งบริษัทถือหุ้นทั้งหมด และ Standard International BH Investor, LLC. รวมทั้งบริษัทย่อยที่เกี่ยวข้องหรือ Bunkhouse ให้แก่ Hyatt Corporation และ Hyatt International Corporation ในราคาซื้อขายรวมประมาณไม่เกิน 355,000,000 เหรียญสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะสรุปผลการเจรจาได้ภายในเดือนกันยายนนี้

ทั้งนี้ประโยชน์ที่คาดว่าบริษัทจะได้รับการทำธุรกรรมดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างสถานะทางการเงินของบริษัท และสามารถน าเงินทุนไปใช้เพื่อการพัฒนาใหม่ที่น่าสนใจอื่น ๆ ตามเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของบริษัท นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาวด้วยการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงซึ่งเป็นที่รู้จักของ Hyatt ผ่านทรัพย์สินต่าง ๆ ของบริษัทฯ ที่บริหารจัดการหรือได้รับสิทธิแฟรนไชส์ภายใต้ Hyatt ตลอดจนการทำงานร่วมกันในเชิงกลยุทธ์อื่น ๆ ในอนาคต

นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาแสนสิริได้รับการติดต่อจากเชนโรงแรมขนาดใหญ่ระดับโลกหลายแห่ง  แต่บริษัทวิเคราะห์ว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดี เนื่องจากพิจารณาจังหวะโอกาส ปัจจัยพื้นฐาน สภาวะตลาด ตลอดจนนโยบายในการบริหารว่าสอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ที่แสนสิริกำหนดไว้ คือการสร้างการเติบโตให้กับ Standard International ได้อย่างแข็งแกร่งและมีความมั่นคงในระยะยาว ปัจจุบัน โอกาสทางธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้ง จากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ส่งผลให้แนวโน้มความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวเริ่มฟื้นกลับ ถือเป็นเวลาที่เหมาะสม มีโมเมนตัมเชิงบวกต่อภาพรวมของธุรกิจ โดยมั่นใจว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ของ Hyatt นอกจากจะสะท้อนถึงความสำเร็จในการลงทุน Standard International ของแสนสิริแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในหลากหลายด้านให้กับลูกค้าและทีมงานของ Standard International อีกด้วย

ทั้งนี้สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าว ยังครอบคลุมสัญญาบริหารและแฟรนไชส์สำหรับโรงแรมมากถึง 21 แห่ง มีห้องรวมกันประมาณ 2,000 ห้อง มีทั้งโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว อาทิ เดอะ สแตนดาร์ด ลอนดอน,เดอะ สแตนดาร์ด ไฮไลน์ในเมืองนิวยอร์ก,เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร,โรงแรมบูติคอย่าง โฮเทล เซนต์ เซซิเลีย ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส,โฮเทล,ซาน คริสโตบัล ในเมืองบาฮากาลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก และ The Manner โรงแรมระดับลักซ์ชัวรีที่กำลังจะเปิดตัวในย่านโซโหของเมืองนิวยอร์กในเดือนกันยายน 2567

โดยหลังจากที่บรรลุข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าว Hyatt จะชำระค่าตอบแทนเริ่มแรกจำนวน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มเติมอีกสูงสุดไม่เกิน 185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับโรงแรมแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารโดย Hyatt

“การเข้าลงทุนซื้อกิจการ Standard International ของ Hyatt ครั้งนี้ จะส่งผลดีและสร้าง value added ต่อแสนสิริเป็นอย่างมาก เนื่องจาก Hyatt มีโครงสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็งทั่วโลก โดยเฉพาะโปรแกรมสมาชิก World of Hyatt ที่ประกอบไปด้วยสิทธิพิเศษและข้อเสนอมากมาย จะเป็นส่วนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่พร็อพเพอร์ตี้ของแสนสิริ เนื่องจากดีลซื้อขายที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ แสนสิริยังคงเป็นเจ้าของพร็อพเพอร์ตี้ อาทิ เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน ,เดอะสแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ หัวหิน,เดอะ เภรี โฮเต็ลหัวหิน และเดอะ เภรี โฮเต็ล เขาใหญ่ เป็นต้น”

ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมียอดขายที่โดดเด่นจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของทางรัฐบาล ที่ทำให้ตลาดอสังหาฯเริ่มกลับมามีสัญญาณบวก โดยสามารถสร้างยอดขายรวมได้ถึง 25,000 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 52,000 ล้านบาท ส่วนรายได้ครึ่งปีแรกทำได้ 20,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปีที่ 43,000 บาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 และกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท

โพสที่เกี่ยวข้อง