ลลิล พร็อพเพอร์ตี้เจาะกลุ่ม Real Demandเตรียมเปิดโครงการใหม่ 6-8 โครงการมูลค่ารวม 4-5 พันล้าน

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มองเศรษฐกิจไทยปี 2568 รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การลงทุนของภาครัฐและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับลดลง เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 6-8 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 – 5,000 ล้านบาท พร้อมปรับกลยุทธ์ด้านการตลาดผ่าน Digital Transformation, Big Data และ CRM เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่

ไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 2.9% โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาถึง 40 ล้านคน การลงทุนของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่ขยายตัวมีการลงทุนใหม่ ๆ  และอัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับลดลง แต่บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นคุณภาพและความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “National Property Company” โดยมุ่งเน้นการบริหารงานตามหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

โดยในปี 2568 บริษัทจะดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “Year of Competitive Survival with Quality, Lean and Innovation for Resilience & Sustainable Growth” พร้อมปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจ ทั้งด้านการตลาดแบบ Lifestyle & Experience Marketing, การใช้ Big Data เพื่อเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่เป็นบ้านแนวราบทั้งงหมด 6-8 โครงการ มูลค่ารวม 4,000-5,000 ล้านบาท ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก คือ ทาวน์โฮมแบรนด์ไลโอ ราคาเฉลี่ย 2-4 ล้านบาท บ้านเดี่ยวแบรนด์แลนซิโอ ราคา 3-6 ล้านบาท แบรนด์บ้านลลิล  ราคา 5-8ล้านบาท  และแบรนด์ลลิล กรีนวิลล์ ราคา 8-12 ล้านบาท เบื้องต้นในช่วงครึ่งปีแรกวางแผนจะเปิดตัวก่อน 4โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขาย 5,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 4,050 ล้านบาท

ชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยกลุ่มผู้ซื้อ Real Demand ต้องการบ้านที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ยืดหยุ่นขึ้น เช่น การมีพื้นที่ Work from Home พื้นที่สีเขียว และบ้านแนวคิด Green Living Standard ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทให้ความสำคัญและนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้บริษัทยังได้ปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตอบโจทย์ด้วย Lifestyle & Experience Marketing และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า โดยได้นำ Digital Marketing, Brand Collaboration,  CRM และ Big Data เพื่อใช้เป็นแนวทางและองค์ประกอบสำคัญ พร้อมปรับองค์กรให้เป็น Agile Organization ผ่านกระบวนการ Digital Transformation มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีความยืดหยุ่น คล่องตัว และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว

โพสที่เกี่ยวข้อง