ยืนหนึ่งเป็นตึกร้างสูงระฟ้าที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จมานานกว่า 30 ปี บนถนนเจริญกรุง ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสะพานตากสิน “สาทร ยูนีค ทาวเวอร์” ที่ใครผ่านไปผ่านมาในย่านนั้นก็ต้องหันไปมองหรือถ่ายรูป เก็บไว้ในความทรงจำหรือโพสต์ลงในโซเชียล จนทำให้ตึกนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักสำรวจเมืองและเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชื่นชอบความท้าทายและต้องการถ่ายภาพมุมสูงของกรุงเทพฯ ที่ถูกขนานนาม เรียกกันว่า “Ghost Tower”
ตึกร้างแห่งนี้ถูกกล่าวขานอยู่ต่อเนื่องและกลายเป็นข่าวดังในโลกโซเชียลอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมีจุดศูนย์กลางในประเทศเมียนมาร์ ด้วยขนาดความแรงถึง 8.2 ริกเตอร์ และสร้างแรงสั่นไหวส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯที่มีตึกสูงผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรม และคอนโดมิเนียม ที่ได้รับความเสียหายจากความแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ในระยะเวลา 3 นาที สามารถสร้างให้เกิดรอยแตกร้าวขึ้นในตัวอาคารหลายแห่ง แต่ สาทร ยูนีค ทาวเวอร์ กลับไม่ระคายเคืองแม้แต่น้อย
สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า สาทร ยูนีค ทาวเวอร์ เป็นตึกร้างที่โด่งดังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ส่วนในประเทศไทยแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักอาคารแห่งนี้ ซึ่งเดิมที “สาทร ยูนีค ทาวเวอร์” ได้ถูกพัฒนาให้เป็นคอนโดมิเนียมระดับหรูด้วยความสูง 47 ชั้น พร้อมชั้นใต้ดินอีก 2 ชั้น มีจำนวนห้องชุดทั้งหมด 600 ยูนิต ราคาขายในช่วงเปิดตัวประมาณ 20,000 – 30,000 บาทต่อตารางเมตร ออกแบบและพัฒนาโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกชื่อดังที่เป็นเจ้าของอาคารนี้ด้วยในนาม บริษัท สาธร ยูนีค จำกัด
ที่ตั้งโครงการอยู่บนถนนเจริญกรุงระหว่างซอย 51 และซอย 53 บนที่ดินประมาณ 2 ไร่ เริ่มลงมือก่อสร้างในช่วงปี 2533 ด้วยเงินลงทุนประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยมีบริษัท สี่พระยาก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง และหยุดการก่อสร้างไปช่วงปี 2536 โดยที่อาคารสร้างไปแล้วประมาณ 90% เจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ของอาคารนี้ คือ บริษัท สาธร ยูนีค จำกัด
ทั้งนี้นอกจาก โครงการสาทร ยูนีค ทาวเวอร์ แล้ว ยังมีอาคารสูงอีก 3 แห่ง คือ โครงการบางกอกริเวอร์พาร์ค กรุงเทพฯ ริมน้ำเจ้าพระยา, โครงการสกายบีช คอนโดมิเนียม พัทยา บนทำเลหาดวงศ์อมาตย์ ที่ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2537 และ โครงการสเตท ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ สีลม บางรัก ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2544
โดยทั้ง 4 โครงการนี้มีการออกแบบในลักษณะเดียวกัน และเริ่มการก่อสร้างในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน มีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ คือ สถาปัตยกรรมโรมัน ที่มีระเบียงโค้งรอบอาคาร และใช้สีขาวเป็นสีหลักทั้งอาคาร สร้างความโดดเด่นให้กับตัวอาคาร ส่วนด้านบนยอดของอาคารยังมีลักษณะเป็นโดมขนาดใหญ่อีกด้วย ส่งผลให้โครงการเหล่านี้เป็นที่สะดุดตาและโดดเด่นเป็นอย่างมาก รวมทั้งเมื่อมองเห็นตัวอาคารก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีผู้ออกแบบเป็นคนเดียวกันหรือบริษัทเดียวกันแน่นอน

โครงการ “สาทร ยูนีค ทาวเวอร์” เป็นโครงการเพียงแห่งเดียวจาก 4 อาคาร ที่หยุดการก่อสร้างไปในช่วงปี 2536 หลังจากผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันวางแผนฆาตรกรรม นายประมาณ ชันซื่อ ประธานศาลฏีกา ณ ตอนนั้น แต่ไม่สำเร็จ เพราะมือปืนที่ถูกจ้างวานโดนจับกุม จากนั้นปี 2551 อาจารย์รังสรรค์ได้ถูกพิพากษาว่ามีความผิด และต่อมาในปี 2553 ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ทำการยกฟ้องคดีดังกล่าว เท่ากับว่า อาจารย์รังสรรค์ถูกจำคุกตั้งแต่ปี 2536 ถึงปี 2553 แต่สุดท้ายแล้วไม่มีความผิด และออกจากเรือนจำมาหลังจากติดคุกไปกว่า 17 ปี
แม้ว่าอาจารย์รังสรรค์ จะกลายเป็นคนไม่มีความผิด แต่เมื่อโดนจำคุกตั้งแต่ปี 2536 ส่งผลให้ โครงการ สาทร ยูนีค ทาวเวอร์ หยุดชะงักด้านการขายและการก่อสร้าง เพราะเจ้าของโครงการถูกดำเนินคดีไปแล้ว ทำให้นักลงทุนที่ร่วมลงทุนหรือสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการต่างยุติการลงทุนและจ่ายเงินงวดค่าก่อสร้างทันที แม้ว่าโครงการนี้จะสร้างไปแล้วกว่า 90% และมีลูกค้าจองและผ่อนเงินดาวน์ไปแล้วกว่า 90% ของทั้งหมด 600 ยูนิต ซึ่ง ณ ตอนนั้นทุกฝ่ายยังคาดหวังว่าโครงการจะหาเงินทุนมาก่อสร้างต่อไปได้ จากนั้นปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โครงการนี้หยุดชะงักแบบ 100% เพราะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ส่งผลให้โครงการอสังหาฯ อาคารประเภทต่างๆ ต้องหยุดการก่อสร้างและกลายเป็นอาคารร้างเกิดขึ้นทั่วประเทศกว่า 300 อาคาร รวมไปถึง “สาทร ยูนีค ทาวเวอร์” ด้วย
โครงการนี้กลายเป็นทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงิน และมีการขายทอดตลาดพร้อมกับทรัพย์สินของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ปิดตัวไปตอนวิกฤตต้มยำกุ้งช่วงปี 2540 – 2541 ซึ่งว่ากันว่ามีเจ้าของบางส่วนเป็นชาวต่างชาติ และมีบางส่วนเป็นสถาบันการเงินของไทย แต่เจ้าของโครงการคือ บริษัท สาทร ยูนีค ทาวเวอร์ จำกัด ซึ่งมีกลุ่มครอบครัวต่อสุวรรณ ของ ผู้ช่วยศาตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ เป็นผู้บริหาร มีความคิดว่าโครงการนี้ถูกเอารัดเอาเปรียบในทางที่ไม่สมควรตั้งแต่ที่อาจารย์รังสรรค์ถูกจับกุม กลุ่มครอบครัวต่อสุวรรณจึงยังคงยืนยันว่าถ้าจะมีการขายอาคารนี้ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ตอนไหน หรือวิธีการใดก็ตาม รวมไปถึงการนำกลับมาพัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์กลุ่มผู้ซื้อคอนโดมิเนียมที่จ่ายเงินมาแล้วไม่ว่าจะเท่าไหร่ต้องได้เงินคืนครบทุกคน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการเจรจาซื้อขายตึกนี้กันหลายครั้ง แต่ด้วยปัญหาหลายอย่างที่ยังคงค้างคา และความตั้งใจของเจ้าของโครงการที่ต้องการคืนเงินทั้งหมดที่มีการจ่ายมาแล้ว ณ ตอนนั้น แต่มูลค่าที่มีการเสนอซื้อขายกันอาจจะไม่เพียงพอต่อทั้งฝั่งเจ้าของโครงการ เจ้าหนี้ และลูกค้าผู้ที่จ่ายเงินมาแล้ว เลยทำให้อาคารยังคงเป็นอาคารร้างถึงปัจจุบัน

และแล้วชื่อของ สาทร ยูนีค ทาวเวอร์ ก็สร้างความฮืฮฮา ขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่มีการแชร์ข่าวบนสื่อโซเชียล มีตัวแทนนายหน้าได้โพสต์ประกาศขายตึกนี้ในราคา 4,000 ล้านบาท และ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาก็ได้ประกาศปิดการขายอาคาร “สาทร ยูนีค ทาวเวอร์” ได้แล้วจนกลายเป็นเรื่องร้อน ประเด็นใหญ่ ที่สร้างความตื่นเต้นไปชั่วระยะเวลาหนึ่งของตลาดอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าอะไรหลายๆ อย่างในเรื่องนี้จะไม่เป็นไปตามรูปแบบการขายอาคารหรือโครงการขนาดใหญ่เลยก็ตาม แต่ก็มีคนส่งต่อ และหลงเชื่อข่าวนี้กันพอสมควร
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมีประเด็นข่าวต่อเนื่องจากการที่โครงสร้างของอาคารนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุด และมีคนพูดถึง เปรียบเทียบกับอาคารสมัยใหม่ที่พังถล่ม หรือแม้แต่แรงสั่นไหวทำให้อาคารหลายแห่งเกิดรอยร้าว จนกลายเป็นที่พูดถึงกันมาตลอดตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมถึงปัจจุบัน(เมษายน 2568) แล้วมีบุคคลที่อ้างว่าเป็นนายหน้าบอกว่าเป็นตัวแทนการขายและมีคนสนใจซื้อตึกนี้เยอะมากๆ โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว แล้วช่วงเช้าวันที่ 2 เมษายน 2568 นายหน้าคนเดิมก็ประกาศว่าปิดการขายอาคารนี้ไปแล้ว แถมยังมีระบุว่าผู้ซื้อเป็นคนไทยอีกด้วย
ซึ่งถ้าปิดการขายได้จริง มูลค่าการซื้อขายสูงขนาดนี้ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายไม่มีทางให้นายหน้าออกมาประกาศแบบนี้แน่นอน เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นนายหน้าออกมาพูดออกสื่อก่อนผู้ซื้อหรือผู้ขายเลย
ชื่อเสียงของ “สาทร ยูนีค ทาวเวอร์” ไม่เคยหายไปและเป็นที่ถูกกล่าวขานอยู่ตลอดเวลากว่า 30 ปี
อาคารร้างหลายตึกในกรุงเทพมหานคร และประเทศไทยเคยมีความหวังในการฟื้นคืนชีพอีกครั้งช่วงปี 2552 เพราะกระทรวงมหาดไทยเคยออก “กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร หรือดัดแปลงอาคารสำหรับอาคารที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ พ.ศ. 2552″ เพื่อนิรโทษกรรมอาคารที่สร้างไม่เสร็จตั้งแต่ช่วงก่อนปี 2540 แล้วใบอนุญาตก่อสร้างหรือใบอนุญาตอื่นๆ อาจจะหมดอายุและไม่มีการต่ออายุ ให้มาต่ออายุใบอนุญาตก่อสร้างได้ แต่ด้วยอาคารเหล่านี้ขอใบอนุญาตมานานแล้ว รูปแบบของอาคาร และอื่นๆ ไม่สอดคล้องกับกฎหมายปัจจุบัน รวมไปถึงเรื่องของความปลอดภัยต่างๆ ก็เช่นกัน เช่น ระยะร่นรอบอาคารสำหรับเป็นทางวิ่งของรถดับเพลิง เป็นต้น รวมไปถึงการออกแบบและการจัดการใช้ประโยชน์พื้นที่ภายในอาคารอาจจะไม่สอดคล้องกับรูปแบบอาคารในปัจจุบัน ส่งผลให้อาคารที่สร้างค้าง ณ ตอนนั้นกว่า 205 อาคาร มีการเดินหน้าก่อสร้างต่อน้อยมากๆ ส่วนใหญ่ปล่อยไว้แบบนั้นและขายตามสภาพ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็มีหลายยอาคารมีการรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่บนที่เดิม หลังจากที่มีการเปลี่ยนไปอยู่ในมือเจ้าของใหม่ แต่โครงการ “สาทร ยูนีค ทาวเวอร์” ยังคงอยู่แบบเดิม ที่เดิมและอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้



