แผ่นดินไหวผลกระทบเศรษฐกิจไทย3หมื่นล้านกระจุกตัวท่องเที่ยว-อสังหาฯ-ก่อสร้างระยะสั้น

SCB EIC ประเมินแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมมีผลกระทบเบื้องต้นต่อเศรษฐกิจไทยจำกัดประมาณ 3 หมื่นล้านบาท กระจุกตัวอยู่ในภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจก่อสร้าง คาดการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบในระยะสั้นกลับมาเติบโตได้ปกติใน 3 เดือน นักท่องเที่ยวต่างชาติปรับลดลง 4 แสนคน ส่วนคอนโดมิเนียม ผู้บริโภคอาจชะลอการโอนหรือซื้อออกไป ทำให้หน่วยโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯและเปิดตัวใหม่หดตัว ส่วนการก่อสร้างส่วนใหญ่ไม่หยุดชะงัก ขณะที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างต้องเผชิญความเข้มงวดจากผู้ว่าจ้างมากขึ้น

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่ไทยเคยเผชิญมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา สร้างความเสียหายต่ออาคารจำนวนมาก โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ นับเป็นความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหว ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ หรือ SCB EIC ได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แต่ตัวเลขจริงขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการฟื้นความเชื่อมั่น โดยในระยะสั้นประเมินว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้มีแนวโน้มสร้างผลกระทบต่อความกังวลด้านความปลอดภัยและการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความกังวลที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานอาคาร จนอาจทำให้กิจกรรมบางส่วนหยุดชะงักเพื่อรอตรวจสอบ รวมถึงประชาชนอาจชะลอการใช้จ่ายบริการ ช็อปปิง และการท่องเที่ยวหลังเกิดเหตุครั้งนี้ ที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มลดลงจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ผลกระทบสุทธิต่อเศรษฐกิจอาจยังไม่แน่นอน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาความเชื่อมั่นจะฟื้นฟูกลับมาได้ทั้งของคนในประเทศ นักท่องเที่ยว และนักลงทุนต่างชาติ

ประเมินนักท่องเที่ยวปีนี้ลดลง 4แสนคน สูญรายได้ 2.1 หมื่นล้านบาท

โดยความเสียหายต่อภาคท่องเที่ยวไทย สะท้อนจากตัวเลขการยกเลิกห้องพักในช่วง 2 วัน(30-31 มีนาคม 2538))หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวของสมาคมโรงแรมไทยมีประมาณ 1,100 บุกกิงทั่วประเทศ และจากข้อมูลของผู้ประกอบการโรงแรมห้องพักที่ถูกยกเลิกส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ

ขณะที่ด้านสมาคมสายการบินประเทศไทยระบุว่าในช่วง 2 วันดังกล่าว ตัวเลขการจองที่นั่งโดยสารรายวันลดลงเฉลี่ย 40-60% เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนหนึ่งยังเฝ้าระวังสถานการณ์ในไทยอย่างใกล้ชิด เพราะรัฐบาลหลายประเทศออกประกาศเตือนด้านความปลอดภัยกับพลเมืองที่จะเดินทางมาไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของสหราชอาณาจักร สิงคโปร์ และแคนาดา

SCB EIC ประเมินเหตุแผ่นดินไหวจะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในระยะสั้น เบื้องต้นคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนเมษายนจะลดลงประมาณ -12% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567  คาดว่าจะใช้เวลาฟื้นตัวให้กลับมาเติบโตได้ตามปกติประมาณ  3 เดือน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้มีโอกาสลดลงจากประมาณการเดิมราว 4 แสนคน และคาดว่าจะสูญเสียรายได้จากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวไทยยังมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วขึ้น หากภาครัฐเร่งออกมาตรการเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับคืนมาได้เร็ว ซึ่งตามคาดการณ์ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติของ SCB EIC ในปีนี้เดิมที่ 38.2 ล้านคน จะถูกปรับหลังสถานการณ์ท่องเที่ยวมีความชัดเจนมากขึ้น

ตลาดคอนโดฯกรุงเทพฯ-ปริมณฑลหดตัว-0.8%

ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าตลาดคอนโดมิเนียมจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ แม้จะไม่ได้เกิดความเสียหายในระดับอาคารถล่ม แต่การฟื้นตัวของตลาดฯ ยังขึ้นอยู่กับการกลับมาของความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยSCB EIC คาดว่าหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2568 อยู่ที่ 8.5 หมื่นยูนิตหดตัว -0.8%เมื่อเทียบกับปี 2567 และต่ำกว่ามุมมองเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.6%

โดยมีสาเหตุหลักมาจากกลุ่มที่มีแผนจะโอนกรรมสิทธิ์และมีแผนจะซื้อคอนโดมิเนียม มีแนวโน้มชะลอการโอนหรือการตัดสินใจซื้อออกไป เนื่องจากยังต้องการความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย รวมถึงการซ่อมแซมความเสียหายเชิงสถาปัตยกรรมของห้องพัก พื้นที่ส่วนกลาง และตัวอาคาร ก่อนการตัดสินใจโอนกรรมสิทธิ์หรือซื้อห้องชุด และกลุ่มผู้ลงทุนในคอนโดฯมีแนวโน้มชะลอการลงทุนจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ เช่น ราคาขายต่อของคอนโดฯ การย้ายออกของผู้เช่ากลุ่มที่มีความกังวลอาจหันไปเช่าที่อยู่อาศัยแนวราบแทน แม้ว่าอัตราค่าเช่าจะสูงกว่าคอนโดฯในทำเลเดียวกัน หรือเลือกเช่าที่อยู่อาศัยแนวราบที่อัตราค่าเช่าไม่ต่างจากคอนโดฯมากนักในทำเลที่ไกลออกไป

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยในคอนโดฯและกำลังผ่อนชำระค่างวด โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างยังมีแนวโน้มอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม และผ่อนชำระค่างวดต่อไป เนื่องจากยังมีข้อจำกัดด้านการเงินในการย้ายที่อยู่อาศัย หรือซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่ม

ทั้งนี้การที่ผู้ประกอบการเร่งตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร และมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือลูกบ้านทันท่วงที ช่วยคลายความตื่นตระหนกสำหรับลูกบ้านได้ส่วนหนึ่ง ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน เช่น การลดค่างวดหรือพักชำระเงินต้นสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย และการออกสินเชื่อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย จะช่วยประคับประคองไม่ให้เกิดการหยุดชะงักของการผ่อนชำระค่างวด รวมถึงสามารถดำเนินการซ่อมแซมห้องพักให้สามารถกลับมาอยู่อาศัยได้ตามปกติ โดยตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์บางส่วนจากกลุ่มที่มีความกังวลในการอยู่อาศัยในคอนโดฯ และมีความพร้อมทางการเงินในการย้ายไปที่อยู่อาศัยในบ้านแนวราบ หรือสามารถซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มเติม

ส่วนการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 2558 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยเผชิญแรงกดดันหลักจากกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่ยังไม่ฟื้นตัว และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่แนวโน้มการชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ หรือการตัดสินใจซื้อคอนโดฯจากแผ่นดินไหว เป็นแรงกดดันให้หน่วยเหลือขายสะสมคอนโดฯในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2568 ยังอยู่ในระดับสูงประมาณ 74,000 ยูนิต

อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาการปรับแผนกลยุทธ์ของผู้ประกอบการในช่วงที่เหลือของปีที่อาจชะลอการเปิดโครงการใหม่ รวมถึงทำการตลาดแข่งขันชูจุดขายด้านความปลอดภัยในการอยู่อาศัยมากขึ้น เช่น ความน่าเชื่อถือของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง มาตรการรับมือภัยพิบัติ การตอบสนองความต้องการหรือให้ความช่วยเหลือลูกบ้านได้ทันท่วงที

ตลาดรับแหมาก่อสร้างรับผลกระทบคอนโดฯ

ส่วนตลาดรับเหมาก่อสร้าง  โดยภาพรวมพื้นที่ก่อสร้างส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงในระดับที่ทำให้การก่อสร้างหยุดชะงักหลังเกิดแผ่นดินไหว ส่งผลให้กิจกรรมก่อสร้างทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนในปี 2568 ยังสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง ประกอบกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงผู้ผลิตและค้าวัสดุก่อสร้างได้รับอานิสงส์จากความต้องการซ่อมแซมอาคาร และสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับความเสียหาย

SCB EIC มองว่า การปรับแผนกลยุทธ์ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่อาจชะลอการเปิดโครงการคอนโดฯใหม่มากขึ้น มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเนื่องให้กิจกรรมการก่อสร้างคอนโดฯที่มีมูลค่าราว 86,000-100,000 ล้านบาทต่อปี (คิดเป็น15-17% ของมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนโดยรวม) เติบโตชะลอลงตามความสามารถในการรองรับภัยพิบัติต่าง ๆ ของสิ่งปลูกสร้าง จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ว่าจ้าง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้ความสำคัญ รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้าง มีแนวโน้มจะเผชิญความเข้มงวดจากผู้ว่าจ้างมากขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนการเข้าประมูลงาน ทั้งคุณสมบัติและประสบการณ์ของผู้รับเหมาหลัก พันธมิตร และผู้รับเหมาช่วง ขั้นตอนการก่อสร้างที่จะต้องมีความปลอดภัย และใช้วัสดุก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน จนถึงขั้นตอนตรวจรับงานที่ผู้ว่าจ้างจะเข้มงวดมากขึ้น ทั้งความตรงเวลาและคุณภาพของงานที่ส่งมอบ ทั้งนี้ความเข้มงวดในขั้นตอนต่าง ๆ ที่สูงขึ้น จะเป็นแรงกดดันให้ผู้รับเหมาก่อสร้างเกิดการแข่งขันด้านคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมของภาคก่อสร้างตามมาในระยะข้างหน้า

โพสที่เกี่ยวข้อง