อนันดาฯ โชว์ Backlogกว่า 1.1 หมื่นล้านบาทมั่นใจคอนโดฯรับผลกระทบระยะสั้นหลังวิกฤตคลี่คลาย

อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ โชว์ Backlog แข็งแกร่งกว่า 11,371 ล้านบาท หนุนการเติบโตระยะยาว มั่นใจตลาดคอนโดฯได้รับผลกระทบระยะสั้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว แถมมีปัจจัยบวกจาก 2 มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯทั้งการปลล็อค LTV และการลดค่าโอน-ค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ดันไตรมาสแรกทำยอดขายได้กว่า 3,677 ล้านบาท

ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่อจากนี้คาดว่าจะมีความท้าทายและความไม่แน่นอนเกิดขึ้นตลอดเวลา  ทำให้ทุกองค์กรต้องปรับตัวและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้ โดยบริษัทได้วางแผนเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมรองรับ ปรับเปลี่ยน ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยมองว่ามาตรการต่างๆ ที่ทางภาครัฐออกมาช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กลับมาดีขึ้น และเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงทุกอย่างก็จะกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการอาศัยอยู่ในเมือง ใกล้แหล่งงาน แหล่งช้อปปิ้ง มีความสะดวกสบายในการเดินทาง จึงเลือกอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมที่มีราคาจับต้องได้

ทั้งนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินไว้อย่างเข้มงวด โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน ณ สิ้นปี 2567 ไว้ที่ 1.22 เท่า และชำระคืนหุ้นกู้ทุกงวดตามกำหนด โดยที่ผ่านมาได้ชำระคืนหุ้นกู้เต็มจำนวนตามกำหนด 100% ตั้งแต่ปี 2566 – ไตรมาส 1 ปี 2568 มูลค่ารวม 15,652 ล้านบาท และเตรียมชำระคืนหุ้นกู้ตามกำหนดในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 มูลค่า 2,276 ล้านบาท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัททุกราย ภายใต้จุดยืน URBAN LIVING SOLUTIONS  ส่งผลให้ผลประกอบการในปีที่ผ่านมากลับมามีกำไรในรอบ 5 ปีและอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ

ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯหลังจากนี้ยังเป็นปีแห่งการประคับประคองธุรกิจ แม้จะมีปัจจัยหนุนจากมาตรการภาครัฐที่ปลดล็อคมาตรการ LTV ให้ชั่วคราว รวมถึงมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนอง 0.01% ถือว่าเป็นมาตรการที่ออกมาในจังหวะที่ดีหลังตลาดอสังหาฯประสบปัญหาจากแผ่นดินไหวและการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น คาดว่าจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาฯในปีนี้ทั้งยอดขายและยอดโอน

ทั้งนี้บริษัทได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่จากมาตรการดังกล่าว โดยมีโครงการระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทมากกว่า 40% ของ Backlog ที่จะโอนภายในปี2568 ซึ่งเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้  นอกจากนี้ในปี 2568 บริษัทยังมี Backlog กว่า 11,371 ล้านบาทหรือคิดเป็น 79% จากเป้ายอดโอน 14,500 ล้านบาท และมีแผนที่จะโอนโครงการพร้อมเข้าอยู่ใหม่ 3 โครงการมูลค่ารวมกว่า 12,078 ล้านบาท ได้แก่ ไอดีโอ รามคำแหง-ลำสาลี สเตชั่น เริ่มโอนในไตรมาส 2,คัลเจอร์ ทองหล่อ และโครงการคัลเจอร์ จุฬา  พร้อมโอนในไตรมาส 3 ทำให้มั่นใจว่ายอดโอนปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน

ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2568 นี้บริษัทสามารถทำยอดขายได้กว่า 3,677 ล้านบาทหรือคิดเป็น Achieved 114 %  และมีสัดส่วนยอดขายลูกค้าต่างประเทศกว่า 53% ของยอดขายรวมในไตรมาส 1  จึงเชื่อมั่นว่าการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการเงินที่ได้นำเงินมาใช้ในการขยายธุรกิจตามวัตถุประสงค์ รองรับการขยายตัวของธุรกิจอสังหาฯในประเทศตามแผนงานที่วางไว้

สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดที่สร้างความกังวลให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯและอาคารสูงที่กังวลว่าจะได้รับผลกระทบ แต่อาคารสูงในประเทศไทยสามารถรับมือกับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงหรือการพังถล่มของโครงสร้างหลัก เนื่องจากมาตรฐานการก่อสร้างอาคารของไทยจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก และได้รับการออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวตามมาตรฐานการก่อสร้างต้านทานแผ่นดินไหวปี 2550ถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นอุตสาหกรรมคอนโดฯยังมีระบบประกันภัยรองรับถึง 5,994 โครงการ วงเงินคุ้มครอง 3.8 ล้านล้านบาท จากการจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยกว่าปีละ 2,200 ล้านบาทซึ่งไม่ต้องพึ่งพิงจากภาครัฐ ทำให้ประเมินว่าตลาดคอนโดฯจะได้รับผลกระทบในระยะสั้น เมื่อความกังวลคลี่คลายลงดีมานด์จะกลับมาสู่ภาวะปกติ

ทั้งนี้หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยในทุกโครงการ ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกในการตรวจสอบโครงสร้างอาคารสูงโดยทีมผู้บริหารระดับสูง พร้อมทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญของบริษัทร่วมกับนิติบุคคลของอาคาร วิศวกรจากภายนอกและเจ้าหน้าที่ของกทม. โดยได้รับการรับรองความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ของ กทม. ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างและระบบความปลอดภัยอย่างละเอียด ทั้งในโครงการที่ส่งมอบแล้ว และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม – 3 เมษายน 2568 ครบทั้ง 95 โครงการ ได้แก่ คอนโดมิเนียม 69 โครงการ บ้านและทาวน์โฮม 26

ส่วนแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหม่ย่านสะพานควาย มูลค่าโครงการ 8,820 ล้านบาท และย่านจุฬาฯ มูลค่าโครงการ 5,440 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้วางกลยุทธ์การกระจายการลงทุนด้วยการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยหลากหลายประเภทและครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันในตลาด

โพสที่เกี่ยวข้อง