ซีบีอาร์อี ประเทศไทยเผยธุรกิจค้าปลีกสินค้าลักชัวรีในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 1.47 แสนล้านบาท คาดการณ์อัตราการเติบโตประมาณ 5% ต่อปีจนถึงปี 2571 ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ในแถวหน้าของตลาดค้าปลีกสินค้าลักชัวรีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอันดับ 7 ในเอเชียแปซิฟิก
รายงานแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ของ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ระบุว่า จากแรงสนับสนุนของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 35.5 ล้านคนที่เดินทางเข้ามาในเมืองไทยในปี 2567 และการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ศูนย์การค้าในเขตใจกลางกรุงเทพฯ กว่า 410,000 ตารางเมตรช่วงระหว่างปี 2567-2568 ส่งผลดีต่อการขยายตัวให้กับผู้ค้าปลีกสินค้าแบรนด์หรู เนื่องจากความต้องการจากลูกค้าที่มีรายได้สูงทั้งในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มสูงขึ้น โดยประเทศไทยได้มีการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยที่มีกำลังซื้อสูง ผ่านโครงการวีซ่าระยะยาว รวมถึงประเทศไทยมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งพักพิงที่ปลอดภัย (Safe Haven)
นอกจากนี้สายการบินหลายแห่งได้กลับมาให้บริการเที่ยวบินตามปกติและนโยบายวีซ่า คาดว่าจำนวนกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth Individual – HNWI) ทั้งที่เดินทางมาเยือนและอาศัยอยู่ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้พัฒนาพื้นที่ค้าปลีก
ขณะที่ผู้พัฒนาพื้นที่ค้าปลีกได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ค้าปลีกระดับชั้นนำในศูนย์การค้าหลักย่านใจกลางธุรกิจ โดยการให้ความสำคัญกับแบรนด์หรู ผ่านการนำเสนอร้านอาหารชั้นเลิศและความบันเทิงระดับพรีเมียม รวมถึงออกแบบผังร้านใหม่สำหรับแฟล็กชิปสโตร์และโซนสินค้าหรูโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอบริการอื่น ๆ เช่น ล่ามแปลภาษาที่มีความหลากหลาย และสินค้าปลอดภาษี เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า
ปัจจุบันแบรนด์หรูที่เข้ามาหรือขยายธุรกิจในประเทศไทยมีความพิถีพิถันในการเลือกสถานที่มากขึ้น โดยเลือกสถานที่ที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์และฐานลูกค้าของตนเองค่อนข้างมาก โดยมุ่งเป้าไปยังพื้นที่ที่มีกลุ่ม HNWI หนาแน่นเป็นหลัก เช่น ย่านลุมพินีในกรุงเทพฯ ที่มีการเติบโตจากการลงทุน โดยมีการปรับโฉมและขยายสาขาของเซ็นทรัล ชิดลม รวมถึงเซ็นทรัล เอ็มบาสซี อีกทั้งการเปิดของ DIOR Gold House คอนเซปต์สโตร์ของแบรนด์ Dior ที่ตั้งอยู่ในย่านนี้ด้วย ส่วนตลาดภูเก็ตมีการปรับโฉมและเพิ่มพื้นที่ค้าปลีกของเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า และการวางแผนเปิดสยามพรีเมียมเอาท์เล็ตแห่งที่สองของสยามพิวรรธน์
โดยเฉพาะโครงการค้าปลีกที่พัฒนาแบบผสมผสานของดิ เอ็ม ดิสทริค ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ได้รับอานิสงค์จากการเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน และการเพิ่มแบรนด์หรูพิเศษอีกกว่า 15 แบรนด์ใหม่ให้กับสยามพารากอนและไอคอนสยามในปี 2568 เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องต่อแหล่งช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์
สำหรับแนวโน้มที่น่าสนใจ คือ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่การค้าปลีกแบบเดิมให้กลายเป็นพื้นที่ค้าปลีกเชิงประสบการณ์ เนื่องจากแบรนด์ต่างมองหาพื้นที่ที่ยืดหยุ่นและสามารถสร้างประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตน เพื่อให้ผู้คนสามารถมีส่วนร่วมและแชร์ประสบการณ์ต่อได้ เช่น โครงการเกษรวิลเลจ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ “LV The Place Bangkok” ของ Louis Vuitton ถื อเป็นตัวอย่างของการสร้างพื้นที่แบบหลายมิติ โดยผสานพื้นที่ค้าปลีก ร้านอาหาร และพื้นที่จัดนิทรรศการ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและความตระหนักรู้เกี่ยวกับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี