แสนสิริ ผนึกพาร์ตเนอร์เดินหน้าต่อ แชร์มุมมอง “BEYOND THE BLUEPRINTS” ตระหนักรู้ถึงแผ่นดินไหว

ผ่านมาแล้ว 60 วัน จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัลดาเลย์ ประเทศเมียนมาร์ และสร้างแรงสั่นไหวมาถึงประเทศไทย ส่งผลให้อาคารสูงในกรุงเทพหลายแห่งได้รับผลกระทบและมีรอยแตกร้าวเกิดขึ้น เรียกได้ว่าสร้าง “ความวิตกกังวล” เป็นอย่างมากสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทยที่มีความรุนแรงขนาดนี้ โดยเฉพาะ ผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม ตึกสูงระฟ้า ที่อาจส่งผลกระทบตามมาคือการย้ายออกเพราะ “ขาดความเชื่อมั่น” บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จึงได้ร่วมกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญ เปิดเวทีสัมมนาแชร์มุมมอง “BEYOUND THE BLUEPRINTS” 60 วัน หลังแผ่นดินไหว ก้าวต่อด้วยพลังความร่วมมือ เพราะมองว่าก้าวต่อไปของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ไม่ใช่แค่การสร้างที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้าง “ความเชื่อมั่น” และ “ความยั่งยืน”…

ศาสตราจารย์ ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ภาควิชาวิศวกรรมโครงสร้างสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ กล่าวว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านมาตรฐานการออกแบบสำหรับอาคารใหม่ จากการออกกฎกระทรวงและมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดินไหวที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะ กฎกระทรวงปี 2564 ถือเป็นพัฒนาการที่ดีมากสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย กฎหมายนี้บังคับให้การก่อสร้างอาคารใหม่ต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้น มีประเภทอาคารที่หลากหลายขึ้น นอกจากนี้โครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ที่สร้างขึ้นภายใต้กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2564 และมาตรฐาน มยผ. 1301/1302-61 นับว่ามีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งมีการนำเทคโนโลยีและวิธีการออกแบบที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งในอนาคตนำนวัตกรรมใหม่ที่พัฒนาและใช้กันแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศมาช่วยลดระดับการโยกตัวและการสั่นไหวของอาคารในประเทศไทย ได้แก่ อุปกรณ์ที่ช่วยดูดซับพลังงานการสั่นไหวของอาคาร เช่น Viscous Dampers หรือ Oil Dampers และที่สำคัญคือการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว เพื่อลดผลกระทบจากแผ่นดินไหว

พลังแห่งความร่วมมือ สู่บทพิสูจน์ อสังหาฯ ไทยสอบผ่าน

อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วันนี้พิสูจน์ได้ว่าภาคอสังหาฯ ของแสนสิริแข็งแกร่ง และสอบผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหว สำหรับแสนสิริด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปี ในการพัฒนาธุรกิจคอนโดมิเนียม ผ่านการสร้างโครงการแนวสูง 225 โครงการ รวมกว่า 90,000 ยูนิต เล็งเห็นโอกาสนี้ ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานทั้งอุตสาหกรรม เพื่อพิสูจน์ว่าการอยู่อาศัยในโครงการแนวสูงมีความมั่นคงปลอดภัยจริง และสิ่งที่ทำให้แสนสิริฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ได้คือ เครือข่ายพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วย: พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ,ผู้รับเหมารายใหญ่ ,ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ, ทีมลิฟต์ และบริษัทประกัน ที่ยืนเคียงข้างลูกบ้านอย่างมั่นคง

“การจัดงานแสนสิริอินไซต์ทอล์ค “BEYOND THE BLUEPRINTS” 60 วัน หลังแผ่นดินไหว ก้าวต่อด้วยพลังความร่วมมือ จะเป็นการจุดประกายความร่วมมือของคนในวงการอสังหาฯ เพื่อร่วมขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยหัวใจการทำงาน 3 ด้าน คือ Quality คุณภาพที่เหนือมาตรฐาน, Service บริการต่อเนื่อง และ Well-being ส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี มุ่งสู่การดูแลลูกบ้านอย่างไม่มีวันสิ้นสุด”

แผ่นดินไหว กระทบเชื่อมั่นระยะสั้น

บริสุทธิ์  กาสินพิลา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โฮมบายเออร์ ไกด์ จำกัด และผู้ร่วมก่อตั้งหลักสูตร The Next Real กล่าวว่า บริษัทอสังหาฯ ขนาดใหญ่หลายแห่งมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วในการส่งทีมวิศวกรเข้าตรวจสอบอาคารและออกแถลงการณ์หรือสื่อสารกับลูกบ้านต่อเนื่อง สิ่งนี้ช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความมั่นใจ ทั้งนี้อสังหาฯไทย ผ่านมาแล้วทุกวิกฤติ เชื่อมั่นว่าสถานการณ์แผ่นดินไหวในไทยที่ผ่านมา มีผลกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น ส่วนในระยะยาวตลาดอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวและฟื้นตัวได้ โดยมีการเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบและการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค สิ่งที่สำคัญ คือการร่วมมือกันใน Ecosystem จับมือกันฝ่าก้าวข้ามทุกวิกฤติมาได้อย่างแข็งแกร่ง สู่การพัฒนาโปรดักส์ใหม่ที่มีคุณภาพ มีเทคโนโลยีการก่อสร้างรูปแบบใหม่ๆ และมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มข้นขึ้นอีกในอนาคต และที่สำคัญ After Sale Service จะเป็นหัวใจหลักของผู้ประกอบในการเร่งเครื่องพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละเซ็กเมนต์ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจะยังคงต้องปรับตัวในหลายมิติ ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความแข็งแรง ปลอดภัย ตรงกับความต้องการของตลาด และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตลาดและการขายมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มคนสูงอายุ หรือกลุ่มที่ต้องการบ้านเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า

ความปลอดภัยของลูกบ้านคือหัวใจ และนำสู่การเซ็ตมาตรฐานใหม่ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ

องอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป้าหมายสูงสุดคือความปลอดภัยและความสบายใจในการพักอาศัยของลูกบ้าน ได้เร่งจัดตั้ง War Room ระดมกำลังทุกหน่วยงาน พร้อมหยุดงานขายชั่วคราวเพื่อทุ่มเททรัพยากรทั้งหมด ประสานงานกับพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญ จัดทำคู่มือ Key Check List ให้วิศวกรลงพื้นที่ทันทีเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง สถาปัตย์ ลิฟต์ ระบบไฟฟ้า ประปา ไปจนถึงระบบป้องกันอัคคีภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของระบบลิฟต์เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย

ผลการตรวจสอบที่ครอบคลุมทุกโครงการของแสนสิริ ทั้งที่อยู่ระหว่างการขาย การก่อสร้าง และโครงการแนวราบ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลาง บ้านตัวอย่าง และบ้านที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ยืนยันว่าโครงสร้างอาคารปลอดภัย 100% นอกจากนี้ สิ่งที่เร่งดำเนินการคือการอำนวยความสะดวกในการเคลมประกันภัยให้กับลูกบ้าน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ลูกค้าอาจไม่คุ้นเคย ทีมงานได้เข้าไปช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด ทั้งการถ่ายภาพและเก็บข้อมูล เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

“แสนสิริไม่ได้มองว่าอะไรทำได้ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น แต่ทุ่มเททรัพยากรที่มีทั้งหมดเพื่อดูแลลูกบ้านอย่างเต็มที่ และจากบทเรียนครั้งนี้ ได้นำข้อมูลจาก LIV-24 ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ 24 ชม. มาศึกษาและใช้ประโยชน์สูงสุดในการรับมือวิกฤตในอนาคต รวมถึงการนำเคสความเสียหายต่าง ๆ มาวางแผนใหม่ เช่น การทำฝ้าและผนังให้มีความยืดหยุ่นในการรับมือแผ่นดินไหวมากขึ้น ตลอดจนนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการออกแบบโครงสร้างในอาคารสูงที่เราได้ศึกษามาตั้งแต่ปี 2560 จะถูกรีวิวและปรับปรุงใหม่ร่วมกับสถาบันการศึกษาและพาร์ตเนอร์ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดให้กับลูกบ้านในทุกสถานการณ์”

มาตรฐานการทำงาน เหนือกว่าข้อกำหนดทั่วไป

ดร.วีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้อาจไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่เราสามารถทำให้ครั้งต่อไป ให้ไม่เป็นวิกฤติ ถ้าเรายกระดับความพร้อมอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่วันนี้ สำหรับฑีฆามองว่าการออกแบบงานที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม รวมทั้งใช้วัสดุที่มีคุณภาพแข็งแรงปลอดภัยตามหลักวิชาการ ระบบการทำงานต้องมีคุณภาพและความปลอดภัยทุกขั้นตอนในการทำงาน โดยต้องตรวจสอบการทำงานทั้งหมด และต้องสร้างจิตสำนึกความปลอดภัยให้กับวิศวกร แรงงานก่อสร้าง ให้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นทุกเวลา จะนำมาสู่มาตรฐานการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ นวัตกรรมที่อยากเห็นในวงการก่อสร้างคือการใช้วัสดุก่อสร้างสำเร็จรูปมากขึ้น เช่น ผนังน้ำหนักเบาโครงโลหะ ที่มีความแข็งแรงรับแรงและกันเสียงได้ดี ซึ่งเมื่อเกิดการแตกร้าว อาทิ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว จะสามารถซ่อมแซมได้ง่ายกว่าผนังปูน พร้อมกับอยากเห็นภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยอย่างจริงจัง

บทเรียนจากเหตุอาคารถล่ม – “Bad Conditions” และความรับผิดชอบที่ต้องมี

กฤษฎา แท้ประสาทสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟรา กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า สาเหตุของอาคารถล่มที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและต่างประเทศ มาจาก Bad Conditions หลายประการที่มาประกอบกัน เช่น จุดต่อที่ทำไม่สมบูรณ์เพียงจุดเดียว แต่เมื่อรวมกับการเปลี่ยนแปลงฟังก์ชันการใช้งานภายในอาคาร หรือการเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดิน ก็อาจนำไปสู่อาคารถล่มอย่างคาดไม่ถึงได้ ฉะนั้น การออกแบบที่ดี ต้องการผู้รับเหมาผู้ควบคุมงานที่ดี และสิ่งสำคัญคือเจ้าของโครงการจะต้องเข้าใจและให้การสนับสนุน แม้จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็ตาม เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะพิสูจน์ผลงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ออกแบบและผู้รับเหมา สิ่งสำคัญคือการเคารพในวิชาชีพ มีความรับผิดชอบ และตั้งใจทำงาน เพราะผลงานที่ดีจะสะท้อนเพอร์ฟอร์แมนซ์ของอาคาร และขอฝากถึงทุกภาคส่วนให้รักษาคุณภาพมาตรฐานงานออกแบบ-ก่อสร้าง โดยเฉพาะการใช้วัสดุก่อสร้างอย่างเหล็กและคอนกรีตที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ และเสนอให้มีการสุ่มตรวจคุณภาพหน้างานไม่ใช่แค่ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น

รับมืออย่างรวดเร็ว สื่อสารเรียลไทม์ และล้ำหน้าอยู่เสมอ    

นฤมล อาภรณ์ธนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ดูแลโครงการกว่า 400 แห่ง ครอบคลุมลูกบ้านมากกว่า 100,000 ครอบครัว เราจึงต้องคิดและวางแผนอย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยให้ความสำคัญสูงสุดต่อความรู้สึกและความปลอดภัยของลูกค้า โดยมีการจัดตั้ง War Room ทันทีเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ มีการสื่อสารสถานการณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ เพื่อสร้างความมั่นใจและลดความตื่นตระหนก พร้อมดำเนินมาตรการตรวจสอบอาคาร ฟื้นฟูความเสียหาย และอำนวยความสะดวกในการเคลมประกันและซ่อมแซม เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด สำหรับเทรนด์ในอนาคตมองว่าควรมีการพัฒนา Data Center การเข้าถึงข้อมูลลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงวัย ผู้ป่วย ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะในเหตุการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นต้องอพยพ เพื่อที่สามารถเข้าช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ถัดมาคือเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับด้านความปลอดภัย อย่างแสนสิริ และ พลัสฯ ที่เรามีการใช้เทคโนโลยีของ LIV-24 ในหลายโครงการที่เราดูแล ซึ่งเป็นการนำ AI มาใช้เพื่อความปลอดภัยในที่อยู่อาศัย โดยระบบสามารถประมวลผลจากข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถรู้ได้ว่าระบบอะไรบ้างที่ใช้งานได้หรือได้รับผลกระทบ อาทิ ระบบลิฟต์ ไฟฟ้า ดับเพลิง สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อวางแผนบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเทรนนิ่ง เป็นสิ่งที่ควรทำต่อเนื่องทั้งกับพนักงานและลูกค้า ในเรื่องการปฏิบัตตัว เวลาเกิดเหตุแผ่นดินไหวให้ออกห่างจากหน้าต่างและไม่ใช้ลิฟต์ การอพยพต้องอยู่ให้ห่างจากตัวอาคารเท่าความสูงของอาคาร เพื่อเป็นการทบทวน เมื่อเกิดเหตุการณ์จริง จะได้สามารถรับมือได้ทั้งพนักงานและลูกบ้าน

แผ่นดินไหวคือความท้าทาย มุ่งสู่การปรับตัว

วิญญู อังศุนิตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความท้าทายในการจัดการสถานการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้คือการรับมือกับจำนวนการเคลมที่เข้ามาอย่างมาก โดยเฉพาะจากลูกค้ารายย่อย โดยเราได้เร่งกระบวนการพิจารณาและจ่ายสินไหมทดแทน เน้นการสำรวจความเสียหายและอนุมัติการจ่ายเคลมอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการควบคุมราคาค่าซ่อมแซม โดยเจรจากับผู้รับเหมาเพื่อให้มั่นใจว่าค่าใช้จ่ายสมเหตุสมผลและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้า นอกจากนี้ ได้ขยายความร่วมมือกับหลากหลายภาคส่วน ประกอบไปด้วย ภาครัฐโดยทำงานใกล้ชิดกับสำนักงาน คปภ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องประกันภัยและภัยธรรมชาติให้แก่ประชาชน และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในเรื่องความจำเป็นของการมีประกันภัย ที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในยามที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดหมายได้

ก้าวต่อไปของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย จึงไม่ใช่แค่การสร้างที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้าง “ความเชื่อมั่น” และ “ความยั่งยืน” ไปพร้อมกัน แสนสิริ พร้อมร่วมจุดประกายให้เกิดการผนึกกำลังครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ไปจนถึงผู้ประกอบการด้วยกัน เพื่อวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ให้บ้านทุกหลัง อาคารทุกแห่ง เป็นพื้นที่แห่งความสุขและความปลอดภัยอย่างแท้จริง

โพสที่เกี่ยวข้อง