ตลอดระยะเวลา 40ปีที่ผ่านมา แสนสิริได้เติบโตและมีพัฒนาการในการพัฒนาที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้เรียนรู้จากปัญหาต่างๆจนสามารถผ่านพ้นวิกฤติใหญ่ๆมาแล้วหลายรอบ ตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ รวมถึง Crisisด้านภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ทั้งเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และล่าสุดเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้บริษัทได้มีการเรียนรู้ รับมือ เตรียมพร้อม และเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลาเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในงาน “Sansiri Special Talk: ถอดบทเรียน หลังแผ่นดินไหว”ที่ถูกจัดขึ้นโดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของวงการอสังหาริมทรัพย์มร่วมถอดบทเรียนและนำความรู้ต่างๆมาปรับใช้ต่อไป อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากเหตการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปดูแลลูกค้าอย่างเต็มที่ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้2ชั่วโมงด้วยการตั้งWarroom ขึ้นมาเพื่อติดตามสถานการณ์ทันที เพราะแสนสิริมีโครงการคอนโดมิเนียมทั้งในส่วนของอาคารไฮไรส์และโลว์ไรส์จำนวนทั้งหมด 225 โครงการ รวมห้องชุดมากกว่า 90,000 ยูนิตที่ขายให้กับลูกค้าไปแล้ว โดยทีมงานของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่มีประสบการณ์ในการดูแลลูกค้าช่วงที่เกิดวิกฤติต่างๆที่ผ่านมา รวมถึงฝ่ายประเมินราคา ฝ่ายจัดซื้อ ได้เข้ามา Set up ระบบร่วมกันพื่อเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าและโครงการที่ได้รับความเสียหายจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
“ความเสี่ยงของบริษัทพัฒนาอสังหาริมรัพย์ คือ การเกิดเหตุการณ์อาคารพิบัติ เพียงแค่อาคารเดียว ชื่อเสียงที่สะสมมานานในการพัฒนาตึกสูงนับร้อยโครการก็จะหายไปในพริบตา ทำให้เมื่อช่วง 8ปีที่แล้วก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหว ตัวผมเองได้มีประชุมหารือร่วมกับฝ่ายออกแบบและฝ่ายก่อสร้าง เพื่อหาวิธีออกแบบและก่อสร้างอาคารสูงด้วยการจัดทำคู่มือการก่อสร้างขึ้นมา1ชุดเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการก่อสร้าง”
โครงสร้างอาคารสูง 225 โครงการแข็งแรง-ปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
ทำให้วันต่อมาหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ทีมงานของแสนสิริก็ได้เข้าไปตรวจสอบอาคารทั้งโครงสร้างอาคารต่างๆเกือบครบทั้ง225 อาคาร โดยใช้เวลาประมาณ 4-5 วัน รวมถึงการตรวจสอบความเสียหายของลิฟต์ในอาคารต่างๆ พร้อมกับให้ฝ่ายจัดซื้อเจรจากับซัพพลายเออร์เพื่อจัดหาอุปกรณ์มาใช้ซ่อมแซมลิฟต์ที่มีประมาณ 200 กว่าตัวที่มีปัญหาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ปัจจุบันมีการซ่อมแซมและเปิดใช้งานได้ปกติ เหลืออยู่แค่ 9 ตัวเท่านั้นที่ยังมีปัญหาและต้องรอวัสดุนำเข้าจากต่างประเทศเข้ามาใช้ซ่อมแซม คาดว่าจะแล้วเสร็จกลับมาใช้งานในปกติกลางปีหน้า
ส่วนระบบไฟฟ้าและประปาในอาคารได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย ขณะที่งานด้านสถาปัตยกรรม จะมีปัญหาด้านผนังราว ฝ้าหลุด วัดุกรุผิวหลุดออกมา โดยแสนสิริได้มีการประสานงานกับบริษัทประกันภัยที่เป็นพาร์ทเนอร์ประมาณ4ราย พร้อมเข้าไปประเมินความเสียหายและจัดทำเอกสารร่วมกับลูกบ้านก่อนจะส่งไปยังบริษัทประกันภัย
“แสนสิริทำงานฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องมี Supply chain Management และ Supplier ที่ทำงานร่วมกันมานานกว่า 2-3พันราย ทำให้มีการเรียนรู้ไปด้วยกันในช่วงที่เกิดวิกฤติต่างๆก็สามารถเข้าไปช่วยซัพพอร์ตซึ่งกันและกันได้”
ขณะเดียวกันในส่วนของบริษพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของแสนสิริที่เปิดให้บริการด้านบริหารนิติบุคคลกว่า 30ปีก็มีบทบบาทสำคัญในการดูแลและบริหารจัดการโครงการที่แสนสิริพัฒนาขึ้นมาได้เข้ามาช่วยดูแลโครงการต่างๆ และเป็นทีมงานชุดแรกที่เข้าไปตรวจสอบอาคารหลังเกิดแผ่นดินไหว
ศ.ดร. เป็นหนึ่ง วานิชชัย ภาควิชาวิศวกรรมโครงสร้าง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ กล่าวว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ความรุนแรงไม่ได้เกินกว่าระดับตามตรฐานที่กฎหมายกำหนด แต่ว่าอาจจะต้องนำเอาความรู้ใหม่จากการเหตุการณ์ครั้งนี้มาปรับปรุงมาตรฐานบางส่วน หลังจากพบว่าแรงสั่นสะเทือนค่อนข้างสูงในอาคาครที่มีความสูงมากๆจะมีค่าการสั่นที่ยาวมากอยู่ในระดับใกล้เคียงหรือเกินกว่ามาตรฐานที่ประเมินไว้ ทำให้ต้องต้องมีการทบทวนและปรับปรุงในเรื่องนี้ใหม่
ส่วนการออกแบบตัวโครงสร้างของอาคารอาจจะต้องเน้นให้โครงสร้างมีความเหนียวหรือมีความสามารถในการโยกตัวได้มากขึ้น เพราะจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้จะพบว่าอาคารที่มีการโยกตัวในระดับหนึ่งหรือที่เรียกว่า อัตราส่วนระหว่างการโยกตัวต่อความสูงของอาคาร ถือเป็นตัวเลขดัชนีที่ชี้ความรุนแรงของการโยกตัว พบว่าอาคารเกือบทั้งหมดมีการโยกตัวไม่เกิน 1% แต่ก็มีบางอาคารที่ได้รับความเสียหายต่อตัวโครงสร้างของอาคาร ที่เกิดจากวัสดุคอนกรีตไม่ได้มาตรฐานหรือการเสริมเหล็กไม่ถูกต้อง ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะต้องการปรับปรุงในอนาคตเพื่อให้การก่อสร้างมีความเข้มงวดมากขึ้นและถูกต้องงตามหลักวิศวกรรม เพื่อทำให้ Shear Wall มีความสามารถในการโยกตัวได้มากขึ้น จะส่งผลให้การโยกตัวต่ออัตราส่วนของความสูงของอาคารสามารถโยกตัวได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2%

ขณะเดียวกันเหตการณ์ครั้งนี้ยังทำให้ได้เรียนรู้ว่าหากต้องการลดแรงสั่นสะเทือนของอาคารสูงสามารถทำได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเพิ่มอุปกรณ์ดูดทรัพย์พลังงานที่โครงสร้างอาคาร พร้อมฝังอุปกรณ์ที่เป็นตัวลูกสูบเข้าไปในตัวอาคาร ซึ่งจะทำใหการโยกตัวของอาคารลดลงมาก ปัจจุบันอุปกรณตัวนี้มีการนำไปใช้แล้วในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น แต่ในประเทศไทยยังไม่เคยพิจารณาในเรื่องนี้ จึงมองว่าอาจจะถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องศึกษาเรื่องนี้ให้มากขึ้น
โอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในประเทศไทยมีไม่เกิน 10%
ขณะที่โอกาสของการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยอีกครั้งเหมือนกับวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมามีเพียงแค่ 10% เท่านั้น เพราะก่อนเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้มีการประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯและความรุนแรงจะเกิดขึ้นจาก 3สถานการณ์ คือ แผ่นดินไหวขนาด 7-7.5 ริกเตอร์ที่จังหวัดกาญจนบุรี การเกิดแผ่นดินไหวระดับ 8 ริกเตอร์ ที่แนวรอยเลื่อนสกายในประเทศพม่า และการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.5-9 ริกเตอร์ตามแนวรอยต่อที่เป็นแนวมุดตัวในทะเลอันดามัน

ซึ่งทั้ง3สถานการณ์นี้มีโอกาสเกิดขึ้นยาก เมื่อเทียบกับโอกาสที่จะไม่เกิดขึ้นในช่วงอายุของคนเราที่มีสูงถึง 90% ซึ่งล่าสุดเกิดขึ้นไปแล้ว 1สถานการณ์ที่ประเทศพม่าเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์กันไว้ แต่โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ในลักษระเดียวกันนนี้อีกครั้งในอนาคตมีโอกาสน้อย แต่อาจจะเจอเหตุการณ์แผ่นดินที่ไหวมีขนาดเล็กและทำให้เกิดการโยกตัวของอาคารได้ แต่ไม่มีความรุนแรง
ขณะที่สภาพแอ่งดินอ่อนในกรุงเทพสามารถขยายความรุนแรงของแผ่นดินไหวได้มากกว่าปกติถึง 3 เท่า และอาคารสูงเป็นจำนวนมากอาจเกิดการกำทอนทำให้การโยกไหวตัวรุนแรงจนเกิดความเสียหาย


