เดินทางเข้าสู่ช่วงปลายของแผนระยะที่ 3 (ปี 2566-2568)ซึ่งเป็นช่วง Unlock Value ของกลุ่มดุสิตธานีที่ได้วางแผน 9ปีในการสร้างการเติบโตของบริษัท ที่พร้อมเก็บเกี่ยวการเติบโตจากการลงทุนและการขยายธุรกิจในช่วงก่อนหน้านี้ พร้อมตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักในปีนี้เพิ่มขึ้น 20-25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (ไม่รวมรายได้จากรายการพิเศษ-Bare Shell) โดยรายได้หลักยังคงมาจากธุรกิจโรงแรมที่ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 20-25% การศึกษา 10-12% อาหาร 10-15%และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 100% ซึ่งในช่วงปลายปีนี้จะเริ่มทยอยโอนห้องชุดในโครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ที่ทำยอดขายไปแล้วประมาณ 90% ของโครงการทั้งหมด (ประมาณการรายได้ 16,000 ล้านบาทเมื่อมีการโอน) ซึ่งจะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ธุรกิจโรงแรม นำโดยโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ซึ่งเป็นเรือธงสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของดุสิตธานี จะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้เป็นปีแรก รวมถึงธุรกิจอาหารที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง พร้อมเตรียมนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเวลาเหมาะสม เพื่อสร้างการเติบโตให้กลุ่มดุสิตธานีอย่างยั่งยืน
ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมาที่กลุ่มดุสิตธานีได้เดินหน้าสร้างการเติบโตตามแผนกลยุทธ์ 9 ปี (2559-2568) ได้เผชิญกับปัจจัยท้าทายและความยากลำบาก ทั้งจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการตัดสินใจยุติการให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิม เพื่อสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ แต่ตลอดเส้นทางที่เต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆทางคณะกรรมการ ฝ่ายบริหาร รวมถึงพนักงานทุกคนของกลุ่มดุสิตธานี ก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ผลักดันให้แผนกลยุทธ์ 9 ปีที่วางไว้ สามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างน่าพอใจ
โดยแผนกลยุทธ 9ปีดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 การสร้างฐาน (ปี2559-2561) เป็นช่วง 3 ปีแรกของการเข้ามาบริหารงานกลุ่มดุสิตธานี โดยตั้งเป้าหมายการสร้างคน ทั้งวัฒนธรรมองค์กร ทัศนคติ การพัฒนาทักษะพนักงาน พัฒนากระบวนการทำงาน และเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี สร้างศักยภาพของสินทรัพย์กลุ่มดุสิตธานี และยกระดับศักยภาพของแบรนด์ดุสิตธานีให้ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์ รวมถึงเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างการเงินเพื่อรองรับแผนระยะยาว
ช่วงที่ 2 ช่วง Take Off (ปี 2562-2565) ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทได้ตั้งเป้าขยายการเติบโตทั้งการขยายธุรกิจโรงแรม ควบคู่ไปกับการขยายบริการที่หลากหลายรูปแบบ การขยายธุรกิจการศึกษา พร้อมกับธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัทดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด รวมถึงการเดินหน้าขยายโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed-Use ที่มีมูลค่าสูงกว่า 46,000 ล้านบาท รวมถึงการปรับกลยุทธ์ เน้นการสำรองเงิน เพื่อให้มีกระแสเงินสดเพียงพอ ด้วยการขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพื่อปรับโมเดลทางการเงินใหม่รักษาองค์กรให้เดินหน้าต่อไปได้ และโครงการสำคัญยังคงเดินหน้าโดยไม่ลดทอนคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการในส่วนของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2567 และเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมาได้เปิดตัวในส่วนของอาคารสำนักงานดุสิต
ล่าสุดอยู่ในช่วงที่ 3 Unlock Value (ปี2566-2568) เป็นช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต จากการที่กลุ่มดุสิตธานีลงทุนไปก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งการขยายพอร์ตโรงแรม จากเดิมที่มีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นโรงแรมที่ดุสิตธานีลงทุนเองจำนวน 10 แห่ง ซึ่งในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567
นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังขยายการลงทุนในธุรกิจอาหาร ผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนในบริษัทเอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย,บริษัทเดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด หรือเดอะ เคเทอเรอร์ส ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม และบริษัทบองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ BONJOUR ที่มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง ล่าสุด บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับการนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ผลประกอบการปี 2567 ขาดทุนจากภาระดอกเบี้ยจ่าย
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 คิดเป็น 74.8% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.4% แต่บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายคืนหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วงโควิด-19 และดอกเบี้ยเงินกู้ยืมประมาณ 281 ล้านบาท รวมถึงดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานการเงินฉบับที่ 16 (TFRS 16) ประมาณ 297 ล้านบาท รวมเป็นต้นทุนทางการเงินประมาณ 578 ล้านบาท จึงทำให้มีตัวเลขขาดทุนสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 237 ล้านบาท
หากไม่รวมต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย การดำเนินธุรกิจของบริษัทยังมีกำไรจากการดำเนินงาน แต่ที่ต้องออกหุ้นกู้และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มดุสิตธานีมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใน “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ที่มีมูลค่าประมาณ 46,000 ล้านบาท และต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19มากว่า 3 ปี ในขณะที่ทุนจดทะเบียนของบริษัทยังคงอยู่ที่ 850 ล้านบาทไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้หลังจากการโอนโครงการที่พักอาศัยในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 2569 จะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงและเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานีจะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งอย่างแน่นอน“
โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีจะสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่สถานการณ์การเดินทางกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายโรงแรมไปยังจุดหมายปลายทางสำคัญทั่วโลกของกลุ่มดุสิตธานีที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ
ขณะเดียวกันบริษัทได้ขยายแผนเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่านโครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ปัจจุบันมียอดขายอยู่ที่ 90% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยโอนในช่วงปลายปี 2568 และจะมีการโอนอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 ส่งผลให้กลุ่มดุสิตธานีจะสามารถลดภาระหนี้สิน มีต้นทุนการเงินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ