แอสเซทไวส์กวาดยอดขายครึ่งปีแรกกว่า1.2หมื่นล้านบาททะลุ 66% ของเป้าทั้งปีคอนโด-วิลล่าภูเก็ตนำทัพโกยยอด

แอสเซทไวส์โชว์ยอดขายครึ่งแรกปี’68 รวม 12,957 ล้านบาท คิดเป็น 66% ของเป้ายอดขายทั้งปี19,500 ล้านบาท ชี้คอนโดฯภูเก็ตกระแสตอบรับดี วิลล่าหรูหาดในยางปิดการขายได้ใน 2 เดือน ประเมินอสังหาฯ ครึ่งปีหลังยังต้องจับตามอง แต่มีแรงหนุนจากดอกเบี้ยลด มาตรการผ่อนคลาย LTV และการลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% เผยพอร์ตบ้าน-คอนโดฯพร้อมอยู่ของ ASW กว่า 90% ใช้สิทธิมาตรการรัฐได้เต็มที่ เดินหน้าโฟกัสบริหารจัดการสินค้าพร้อมอยู่ ลุยเปิดโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพ  มั่นใจยอดขายตามเป้า 19,500 ล้านบาท

กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกของปี 2568 เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ ทั้งนโยบายภาษีทรัมป์ และสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ทำให้บริษัทได้วางกลยุทธ์กระจายความเสี่ยง พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลหัวเมืองท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมียอดขายถึง 12,957 ล้านบาท เติบโตขึ้น 21% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคิดเป็น 66% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 19,500 ล้านบาท

โดยได้เปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่า 10,700 ล้านบาท ยอดขายหลักจะมาจากกลุ่ม Leisure Residences ในภูเก็ตที่พัฒนาโดยบริษัทร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  บริษัทย่อยในเครือ ได้แก่ โครงการเดอะ ไทเทิล วิลล่า เอสเตลลา ในยาง ลักชัวรีวิลล่าที่ปิดการขายได้หมดภายใน 2 เดือน โครงการเดอะ คาตาเบลโล คอนโดมิเนียมบนทำเลกะตะทำยอดขายได้แล้ว 56% และโครงการอะดอร่า ราไวย์ คอนโดฯใกล้หาดราไวย์มียอดจองแล้วกว่า 50%

ส่วนโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล อาทิ โครงการเคฟ เพลย์กราวด์ พรีแคมปัสคอนโดฯตรงข้ามโรงเรียนบดินทรเดชาฯ และโครงการแอทโมซ เดอ โซล คอนโดฯโลว์ไรส์ใกล้สถานีทิพวัล ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีทั้งจากกลุ่มลูกค้าที่ซื้ออยู่อาศัยเองและนักลงทุน

ส่วนสถานการณ์ตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลังยังต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดทั้งภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แต่ตลาดอสังหาฯยังคงมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.75% การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ให้กู้ได้เต็ม 100% ในทุกราคาทุกสัญญา และการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 ถือเป็นโอกาสที่ดีในการระบายสต๊อกโครงการพร้อมอยู่ที่โอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที และเป็นจังหวะดีของผู้บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงินสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น

โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 บริษัทมีโครงการคอนโดฯและบ้านที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 9,968 ล้านบาท ในจำนวนกว่า 90% ของมูลค่าโครงการพร้อมอยู่ทั้งหมดเป็นกลุ่มสินค้าราคา 1-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มราคาที่ลูกค้าสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการรัฐได้เต็มที่

สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการโครงการพร้อมอยู่ โดยจัดแคมเปญทางการตลาดร่วมกับพันธมิตรทางการเงินให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น บริการจัดหาผู้เช่าอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน และเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพ ที่มีความต้องการซื้ออย่างชัดเจนจากกลุ่มซื้ออยู่เองและซื้อเพื่อลงทุน ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมถึงจังหวัดภูเก็ต ที่มีดีมานด์จากชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่มองหาพักอาศัยระยะยาว (Long-Stay) และท่องเที่ยวระยะสั้นที่จะเดินทางเข้าประเทศในช่วงไฮซีซั่นปลายปี ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขายรวมของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้มูลค่า 19,500 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทยังมีโครงการที่สร้างเสร็จใหม่เตรียมทยอยโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้เพิ่มอีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการเดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา คอนโดฯตากอากาศใกล้หาดบางเทา มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันทำยอดขายไปแล้วกว่า 88% และเริ่มทยอยรับรู้รายได้บางส่วนในช่วงปลายไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โครงการมารูน รัชดา 32 คอนโดฯในย่านรัชดา 32 มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท และโครงการเคฟ วันเดอร์แลนด์ แคมปัสคอนโดแห่งใหม่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มูลค่าโครงการ 2,550 ล้านบาท

โพสที่เกี่ยวข้อง