ทำความรู้จักกับ “ฐิติวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ” หัวเรือใหญ่ แค๊ปสโตน แอสเสท สู่เส้นทางก้าวสู่ No.1 อสังหาฯกลุ่มไลฟ์สไตล์และฮอสพิทัลลิตี้

อสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่มีเสน่ห์ในเรื่องของการทำงานที่ไม่ซ้ำกัน เป็นการทำงานที่ต้องตีโจทย์ใหม่ตลอดเวลา เป็นงานที่ท้าทายอยู่เสมอ แม้แต่โครงการลักษณะเดียวกันก็เป็นการตีโจทย์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน และบริษัทไม่ได้พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์เดียวที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ แต่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ มีเอกลักษณ์และมีซินเนอรจี้ ซึ่งมีกลิ่นอายการผสมผสานกันระหว่างโรงแรมและที่อยู่อาศัย

คำกล่าวของ ฐิติวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ กรรมการบริหาร บริษัท แค๊ปสโตน แอสเสท จำกัด ที่มองว่าธุรกิจอสังหาเป็นธุรกิจที่มีเสน่ห์ของอสังหาฯ สร้างความแปลกใหม่ในทุกวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขาหลงใหลและเลือกเดินเส้นทางบนสายอสังหาฯ โดยตั้งแต่ที่ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน แอนน์ อาร์เบอร์ และระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา มีความสนใจและคลั่งไคล้เรื่องอสังหาริมทรัพย์เป็นพิเศษ ได้มีโอกาสเข้าฝึกงานกับ เลห์แมน บราเธอร์ส (Lehman Brothers) ในส่วนที่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นจุดตอกย้ำและทำให้มั่นใจมากยิ่งขึ้น บนเส้นทางที่อยากเดิน ซึ่งต่อมา ฐิติวัฒน์ ได้ร่วมงานกับเลห์แมน บราเธอร์ส ในประเทศไทย โดยมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในอีกหลายปีต่อมา ยังได้สั่งสมประสบการณ์ด้านการพัฒนาและลงทุนในส่วนโรงแรมอีกหลายแห่งจากการเข้าร่วมงานกับบริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชันแนล จำกัด (มหาชน) นานกว่า 5 ปี โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบดูแลกลุ่มธุรกิจโรงแรมด้าน M&A (Mergers and Acquisitions) หรือการควบรวมและซื้อกิจการและการขยายธุรกิจ โดยมีส่วนสำคัญในการพัฒนาโรงแรมและดูแลโครงการที่มีทั้งโรงแรมและแบรนด์เดดเรสซิเดนซ์ ก่อนจะเริ่มต้นดำเนินธุรกิจของตนเอง ด้วยการจัดตั้ง บริษัท แค๊ปสโตน แอสเสท จำกัด ในปี 2562 ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องรวม 8 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท

โดยมีโครงการที่สร้างชื่อเสียง อาทิ คิมป์ตัน คีตาเล สมุย โรงแรมหรูที่นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติชื่นชมเป็นอย่างมาก, ต้นสนวันเรสซิเดนซ์ โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีใจกลางเมือง, โครงการแคนวาส ไลฟ์สไตล์มิกซ์ยูสแห่งแรกในย่านเพลินจิตที่ผสมผสาน flexible workspace ร้านอาหาร กาแฟ สุขภาพและยิมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน กลุ่มแค๊ปสโตน แอสเสท กำลังพัฒนาโครงการโรงแรมไลฟ์สไตล์ระดับ 5 ดาว บนหาดนาใต้ที่กำลังกลายมาเป็น lifestyle luxury destination แห่งใหม่ รวมถึง โครงการใหม่ล่าสุดบนเกาะภูเก็ต “Peylaa Phuket Bang Tao” มิกซ์ยูสคอนโดมิเนียมที่โดดเด่นด้วยการเป็น Branded Residence ภายใต้การจับมือระหว่างบริษัท แค๊ปสโตน แอสเสท จำกัด กับแบรนด์เครือโรงแรมระดับโลก

ฐิติวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ กรรมการบริหาร บริษัท แค๊ปสโตน แอสเสท จำกัด

“เรายึดหลัก “หนึ่งโครงการ หนึ่งแบรนด์” โดยออกแบบให้แต่ละโครงการมีดีไซน์และนวัตกรรมเฉพาะตัว ตอบโจทย์บริบท ตลาดและกลุ่มเป้าหมายของโครงการนั้นอย่างแท้จริง เพื่อให้ทุกแบรนด์มีเอกลักษณ์โดดเด่นและมีตัวตนเป็นของตนเอง” ฐิติวัฒน์ กล่าว

แม้ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจมีความผันผวน แต่ ฐิติวัฒน์ กลับมองเห็นโอกาสของอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดภูเก็ต เพราะความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากทำเลอื่น รวมทั้งยังเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ทำให้ภูเก็ตเป็นหนึ่งในทำเลที่น่าสนใจที่สุด ซึ่งมีความเชื่อมั่นว่า ภูเก็ต จะเติบโตได้อีกยาวนาน จากปัจจัยและแรงบวกสนับสนุนต่างๆ แม้จะมีเหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจกระทบบ้าง แต่ ภูเก็ตก็จะกลับมาเติบโตต่ออย่างรวดเร็ว และภูเก็ตจะยิ่งเติบโตได้มากขึ้นหากสถานการณ์ของประเทศมีความมั่นคงแข็งแรงกว่านี้

ด้วยศักยภาพของจังหวัดภูเก็ต กลุ่มแค๊ปสโตน แอสเสท จึงเดินหน้าปักหมุดพัฒนาโครงการ “เพย์ลา ภูเก็ต บางเทา” (PEYLAA Phuket Bang Tao) ในรูปแบบโครงการคอนโดมิเนียมหรูมูลค่า 3,700 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณหาดบางเทา พื้นที่ขนาด 10 ไร่ 1 งาน 94.4 ตารางวา ประกอบด้วยอาคารพักอาศัยสูง 7 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวมห้องพักทั้งหมด 408 ยูนิต ประกอบด้วยห้องขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่เริ่มต้นที่ 45 ตร.ม. ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 82 ตร.ม. และ 90 ตร.ม. และห้องพิเศษคอมไบน์ 3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 127 ตร.ม. ทุกห้องตกแต่งแบบ Fully Furnished พร้อมอยู่อาศัย ปัจจุบันกำลังคุยรายละเอียดกับเชนโรงแรมระดับโลกอยู่และคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีเอกลักษณ์ สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่พิเศษสุดและแตกต่างจากทุกโครงการในประเทศไทย

ทั้งนี้ในช่วง 3 – 5 ปี ต่อจากนี้ ฐิติวัฒน์ ได้วางเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กลุ่ม “ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Real Estate)” และ “ฮอสพิทัลลิตี้ (Hospitality Real Estate)” โดยมุ่งพัฒนาโครงการโรงแรมและคอนโดมิเนียมที่ผสานประสบการณ์ทั้งสองรูปแบบเข้าด้วยกัน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีดีเวลลอปเปอร์รายใดจับตลาดนี้อย่างชัดเจน ประกอบกับเทรนด์ของตลาดอสังหาฯและผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับเรื่องประสบการณ์การอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นเทรนด์ที่มาแรงเห็นได้จากกลุ่มโรงแรมชั้นนำระดับโลกมีการเพิ่มแบรนด์โรงแรมใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ตอบสนองไลฟ์สไตล์การพักอาศัยที่แตกต่างจากแบรนด์เดิม

นอกจากนี้ ยังมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่ในกลุ่มฮอสพิทาลิตี้สำหรับเมืองไทย ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะอยู่ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นพระเอกในการสร้างรายได้ให้กับประเทศมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้ว่าจะสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่ดีมากนัก แต่เชื่อว่าธุรกิจธุรกิจท่องเที่ยวในปีนี้ยังสร้างรายได้หลักให้กับประเทศเช่นเดิม เนื่องจากประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย พัทยา กระบี่ และเชียงใหม่ อย่างกรณีจังหวัดภูเก็ตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมากและเติบโตได้อีกยาวนาน เพราะเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงระดับโลก พูดได้ว่า การเติบโตของจังหวัดภูเก็ตไม่ได้พึ่งพิงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยอีกต่อไป แต่มีเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวของมันเองอย่างแท้จริง

โพสที่เกี่ยวข้อง