พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดแผนกลยุทธ์ 3 ปี (2569–2571) ปรับโครงสร้างทางการเงิน มุ่งลดภาระหนี้ลง 50% ในปี 2570 พร้อมวางเป้าขายสินทรัพย์ต่อเนื่อง 3 ปี เร่งสร้างยอดขายให้กลับมาแตะระดับ 10,000 ล้านบาทอีกครั้งในปี 2571 พร้อมปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อลดค่าใช้จ่ายลง 20% ภายในปี2569 มั่นใจจุดแข็งพอร์ตที่ดินในทำเลศักยภาพ ความร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติ เป็นปัจจัยหนุนให้บริษัทกลับมาเติบโตในระยะยาว
ศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมพร้อมรับมือวิกฤตทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแรงลง ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญแรงกดดันจากความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่ถดถอย และการปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ในอัตราสูง ด้วยแผนกลยุทธ์ใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 2569-2571) ภายใต้เป้าหมายหลัก 3 คือ ลดภาระหนี้ สร้างยอดขายเพิ่มรายได้ และปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง
โดยแนวทางการปรับโครงสร้างทางการเงิน บริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดภาระหนี้ลง 50% ภายในปี 2570 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ให้สามารถดำเนินการตามแผนธุรกิจที่วางไว้ โดยมีแผนการขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่ทรัพย์สินหลัก (Non-Core Assets) ภายในระยะ 3 ปี เริ่มจากปี 2569 มีแผนขายสินทรัพย์มูลค่า 300 ล้านบาท ปี 2570 มูลค่า 2,500 ล้านบาท และปี 2571 มีเป้าหมายขายสินทรัพย์เพิ่มอีกกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนแผนการลดหนี้และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมเตรียมจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 6 สิงหาคมนี้ เพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการชำระคืนหุ้นกู้จำนวน 15 ชุด ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนระหว่างเดือนสิงหาคม 2568 ถึงมกราคม 2570 โดยบริษัทเสนอขยายระยะเวลาไถ่ถอนทุกชุดออกไป 2 ปี และปรับเพิ่มดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปี เพื่อให้สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมความสามารถในการจัดการชำระคืนหนี้หุ้นกู้
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจ บริษัทมุ่งเน้นการสร้างรายได้ผ่านการทำยอดขายให้เติบโต โดยตั้งเป้ายอดขายให้กลับมาอยู่ในระดับ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2571 เน้นเจาะกลุ่มสินค้าบ้านระดับราคาปานกลาง ซึ่งยังคงมีดีมานด์ในตลาด ขณะเดียวกันจะทยอยลดสัดส่วนสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม
ปัจจุบันมีสินค้าพร้อมขายรวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 2,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3,500 ล้านบาท โดยจะเร่งระบายสต็อกในโครงการที่สามารถรับรู้รายได้ทันที นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 2,220 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้บริษัทยังคงมีจุดแข็งที่สำคัญ ได้แก่ การถือครองทรัพย์สินในทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นทำเลที่มีความต้องการด้านที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องและเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ ตลอดจนทำเลที่มีการเติบโตและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เช่น เขาใหญ่ หัวหิน และเชียงใหม่
นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าปรับโครงสร้างทางธุรกิจและโครงสร้างองค์กร โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลดค่าใช้จ่ายลง 20% ภายในปี 2569 และมีแผนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินงานและระบบบริหารจัดการให้มีความกระชับคล่องตัว ยกระดับความสามารถในการทำกำไร เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันบริษัทยังได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตร อาทิ Sumitomo Forestry และ Sekisui Chemical จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความร่วมมือระยะยาวในพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทในสายตานักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งประสบการณ์ 40 ปีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และความสามารถในการบริหารจัดการภายใต้สภาวะท้าทาย