จระเข้ คอร์ปอเรชั่นเผยผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 เติบโต 9.5% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า คาดทั้งปีสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างมีมูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะพื้นที่ EEC เติบโตสูงต่อเนื่อง บริษัทเติบโตทั้งในไทย และต่างประเทศแต่ต่างประเทศมีโอกาสเติบโตสูงกว่า คาดการณ์กลุ่มตลาด CLMV เติบโตขึ้น 5-7% และในปี 2568 จระเข้ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 16%
ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้เติบโต 9.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยรายได้หลักมาจากตลาดในประเทศ 90% แบ่งเป็นช่องทาง Traditional Trade 62% และ Modern Trade 38% ไปยังผู้ใช้งาน ช่างก่อสร้าง ผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับเหมาเฉพาะทาง และผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดครบวงจร และต่างประเทศ 10% โดยจระเข้ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนต่างประเทศเป็น 16% ผ่านการขยายสินค้าในตลาดเดิมและการเจาะตลาดใหม่ ปัจจุบันสินค้ามีจำหน่ายใน 17 ประเทศ ทำให้มั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้จะทำรายได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 4,000 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มนวัตกรรมกาวซีเมนต์ และกาวยาแนว ในสัดส่วนกว่า 50% จากมูลค่าตลาดรวม 5,500 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้างมีอัตราเติบโตคงอยู่ที่ 24% ซึ่งปีนี้รายได้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 900 ล้านบาท
ส่วนภาพรวมของตลาดก่อสร้างไทยในปีนี้ คาดว่าอยู่ในภาวะทรงตัว โดยมูลค่าตลาดก่อสร้างรวมอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท มีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนภาครัฐและเอกชน และการท่องเที่ยว ขณะที่ตลาดวัสดุเคมีก่อสร้าง เช่น กาวซีลแลนต์ และกันซึม เติบโตมากกว่า 5.5% ต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5% ไปจนถึง 2573
ส่วนมูลค่าการลงทุนงานก่อสร้างของภาครัฐในปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 3-5% จากการลงทุนก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ทั้งโครงการเดิมและโครงการใหม่ อาทิ งานก่อสร้างท่าเรือ ทางด่วน รถไฟความเร็วสูง และโครงสร้างพื้นฐานในแถบ EEC ส่วนงานภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัว -4 ถึง -5.6 %
ส่วนตลาดวัสดุก่อสร้างยังได้รับอานิสงฆ์เชิงบวกจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดความต้องการซ่อมแซมเร่งด่วน โดยพบว่าผู้ว่าจ้างให้ความสำคัญกับสินค้าคุณภาพที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและความสามารถในการรับมือภัยพิบัติมากขึ้น
“หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เจ้าของบ้านและทุกองค์กรต่างหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานที่มั่นคงและการซ่อมแซมที่มีความคงทนและปลอดภัยในระยะยาว โดยวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะเติบโต 5-6% ในช่วงปี 2568-2572 ซึ่งสอดคล้องความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปด้านตลาด”
ด้านตลาดวัสดุก่อสร้างในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ยังคงแสดงศักยภาพการเติบโตที่น่าสนใจ แม้จะเผชิญความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม คาดการณ์เติบโต 5-7% ในปี 2568 ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน ระบบน้ำและไฟฟ้า ที่ช่วยดันความต้องการวัสดุก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับ CLMV มีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านเวียดนามโดดเด่นด้วยแนวโน้มเติบโตดีที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของต่างชาติมายังเวียดนาม พร้อมด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่เมียนมาเผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สร้างความต้องการวัสดุก่อสร้างจากไทยเพิ่มขึ้น กลุ่มประเทศ CLMV จึงยังคงเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพการเติบโตโดดเด่นสำหรับธุรกิจไทยที่ต้องการขยายตลาดต่างประเทศ
นอกจากนี้ให้ความสำคัญ “Sustainable Building Innovation” ซึ่งปัจจุบันเรามีสัดส่วน Green Products กว่า 63% และตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และบรรลุ Net Zero ในปี 2608