ORIGIN จากคอนโดเพื่อที่อยู่อาศัย สู่ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอสังหาฯกว่าแสนล้าน

1 ทศวรรษ ของการเดินเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ORI หรือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ได้พิสูจน์แล้วว่า การเดินทางเข้าสู่ความเป็นบริษัท มหาชน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นี่คือ Platform เป็น Springboard ที่ทำให้บริษัทสร้างความได้เปรียบ พิสูจน์ความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นและลูกค้า ว่าบริษัทพร้อมที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด

จุดเริ่มต้นก่อนก้าวสู่การเป็นอาณาจักร ออริจิ้น เริ่มต้นจากความฝันเล็กๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจของใครหลายๆคน ที่ โด่ง-พีระพงศ์ และ ยุ้ย-อารดา จรูญเอก เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต คุณพีระพงศ์ เลือกทิ้งชีวิต มนุษย์เงินเดือน สู่การสร้างธุรกิจที่รัก ก่อตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เล็กๆ โดยใช้กลยุทธ์ “Blue Ocean” ที่ชาญฉลาด และมองเห็นโอกาส นั่นคือ เจาะกลุ่ม Target ตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับคนรุ่นใหม่และกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) สู่การพัฒนาโครงการแรกภายใต้ชื่อ “Sense of London” ในซอยสุขุมวิท 109 ที่เปิดตัวในปี 2553 เป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ (Low Rise) สูง 8 ชั้น มูลค่า 199 ล้านบาท นี่คือจุดเริ่มต้นที่เป็นภาพจำของ ออริจิ้น ที่สร้างคอนโดมิเนียม ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย อยู่ในแนว รถไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันที่ดี ทำให้คนรุ่นใหม่วัยทำงาน จับต้องเป็นเจ้าของได้

Entry Strategy สถานะใหม่หลังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ปี 2558 เป็นปีที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ออริจิ้น เปิดตัวโครงการใหม่มากถึง 8 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 7,332.8 ล้านบาท ตัวเลขนี้แสดงถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดด การเข้าถึงแหล่งทุนที่หลากหลายทำให้บริษัทสามารถขยายพอร์ตโฟลิโอได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเห็นได้ว่า การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คือ Entry Strategy จากบริษัทอสังหาฯ ที่พัฒนาโครงการแถบชานเมืองของกรุงเทพฯ และปริมณฑล มาในตอนนี้ มีเม็ดเงินจากการระดมทุน ถือเป็น โอกาสในการ ปั้นเครื่องยนต์ใหม่ๆ เช่น การเข้าสู่ ตลาด Luxury Condominium และ ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่ง เป็นการกระจายพอร์ตการลงทุนและเป็นส่วนแบ่งการตลาดของตลาดนี้ได้เพิ่มขึ้น

โดย ออริจิ้น ตัดสินใจเปิดตัวโครงการระดับบน อย่างแบรนด์ Knightsbridge ขึ้นพร้อมๆ กัน ในหลายทำเลโซนกรุงเทพ พร้อมการ Take Over แบรนด์คอนโดระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรีอย่าง “Park 24” แล้วเปลี่ยน มาเป็น “พาร์ค ออริจิ้น” (PARK ORIGIN) ที่เจาะตลาดบน “ฐานลูกค้า” กลุ่มใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยและต่างชาติ และ “ที่ดิน” ในทำเลทองใจกลางเมืองอย่างทองหล่อ, และพร้อมพงษ์ และตามมาด้วย พาร์ค พญาไท

โดย ณ สิ้นปี 2568 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีการพัฒนาโครงการ คอนโดมิเนียมภายใต้การดำเนินงานของ ORIGIN VERTICAL ทั้งสิ้น 123 โครงการ กว่า 59,894 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 203,626 ล้านบาท

จากแนวสูงสู่แนวราบ ปั้น Britania

หลังจากประสบความสำเร็จในธุรกิจคอนโดมิเนียมในทุกๆ Segment จนมาเป็นผู้เล่นหลักเบอร์ต้นๆ ของธุรกิจคอนโดมิเนียม ใน ปี 2559 ออริจิ้น ได้ก่อตั้ง “บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด” ขึ้น ก่อนที่จะรีแบรนด์เป็น “บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)” หรือ BRI ในเวลาต่อมา

บริทาเนีย ถูกวางตำแหน่งให้เป็น “บริษัทเรือธง” (Flagship Company) ที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบทั้งหมดของเครือออริจิ้น โดยมีการสร้างแบรนด์ลูกที่หลากหลายเพื่อเจาะตลาดในทุก Segment ตั้งแต่บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรีแบรนด์ “เบลกราเวีย” (Belgravia), บ้านเดี่ยวแบรนด์ “แกรนด์ บริทาเนีย” (Grand Britania) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดแบรนด์ “บริทาเนีย” (Britania), ทาวน์โฮมแบรนด์ “ไบรตัน” (Brighton), และล่าสุดได้เปิดตัวโครงการบ้านพักตากอากาศระดับลักซ์ชัวรีแบรนด์ “บัลโค” (Balco)

อีก กลยุทธ์ คือ การนำบริทาเนียเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอีกหนึ่งบริษัท ในกลุ่มบริษัท ซึ่ง การ Spin-off ครั้งนี้ช่วยปลดล็อกมูลค่าของธุรกิจแนวราบให้ปรากฏชัดเจนขึ้น ทำให้บริทาเนียสามารถระดมทุนได้ด้วยตัวเอง และมีทีมผู้บริหารที่มุ่งเน้นการเติบโตในตลาดแนวราบโดยเฉพาะ

โดย ณ สิ้นปี 2568 บ้าน BRITANIA จะมีโครงการพัฒนาแล้วทั้งสิ้น 52 โครงการ 9,914 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 67,503 ล้านบาท

การขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทเผยให้เห็นหลักการเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของออริจิ้น นั่นคือ “สร้าง ซื้อ หรือแยก” (Build, Buy, or Spin-off) ออริจิ้น ไม่ได้ยึดติดกับวิธีการใดวิธีการหนึ่ง แต่เลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ สำหรับตลาดลักซ์ชัวรีที่ยังไม่มีชื่อเสียง พวกเขาเลือกที่จะ “ซื้อ” ความสำเร็จด้วยการเทคโอเวอร์ เพื่อสามารถพัฒนาและต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว ธุรกิจแนวราบ พวกเขาเลือกที่จะ “สร้าง” ธุรกิจขึ้นมาใหม่จากศูนย์ และเมื่อธุรกิจนั้นแข็งแกร่งพอ พวกเขาก็พร้อมที่จะ “แยก” ออกมาเป็นบริษัทจดทะเบียนอิสระ ความยืดหยุ่นทางกลยุทธ์นี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ออริจิ้นสามารถขยายอาณาจักรได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง

ORIGIN Multiverse จากการพัฒนาที่อยู่อาศัยสู่อาณาจักรใหม่กว่าแสนล้าน

ออริจิ้น มุ่งมั่น ที่จะเป็นบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งการเติบโตของธุรกิจอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่แค่การพัฒนาที่อยู่อาศัย แต่คือการมอง เห็นโอกาส แล้วเข้าไปต่อยอด ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจ หลังจากที่ประสบความสำเร็จ จากโครงการ คอนโดมิเนียม และบ้านแนวราบ ออริจิ้นก็ไปต่อ แล้ว วางแผนยุทธศาสตร์ ภายใต้แนวคิด Origin Multiverse ที่สะท้อนความเติบโตหลากหลายมิติ แม้จะแยก การเติบโต แต่ก็เชื่อมโยงและเกื้อหนุนกัน เป็น พหุจักรวาลที่สมบูรณ์แบบ โดยแบ่งออกเป็น 5 จักรวาลหลัก

ธุรกิจสร้างรายได้ประจำ (Hospitality & Tourism)

ออริจิ้น ได้จัดตั้งบริษัท ในชื่อ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ One Origin เพื่อพัฒนาอสังหากลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ออริจิ้น โฮเทล จำกัด (มหาชน)” ในปัจจุบัน ภายใต้การดำเนินงานของ Origin Hotel แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจย่อย ประกอบด้วย

  • ธุรกิจโรงแรม (Hotel) มีจำนวน 10 โครงการจำนวน 2,524 Keys มูลค่า 11,730 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2568
  • พื้นที่ค้าปลีก (Retail Space) 5 แห่ง มีพื้นที่รวม 17,425 ตารางเมตร
  • สำนักงานให้เช่า (Office Space) 1 อาคาร มีพื้นที่รวม 32,200 ตารางเมตร

ซึ่งธุรกิจนี้เปรียบเสมือนเครื่องจักรสร้างเงิน จักรวาลนี้คือเครื่องยนต์ที่สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเงินให้แก่เครือ ลดการพึ่งพิงรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ

โดย ธุรกิจโรงแรม (Origin Hotel) ถือเป็นไฮล์ไลท์ที่สร้างผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับบริษัท โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยปี 2567 ราว 76% (กรุงเทพ 86%) ออริจิ้นบุกเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมอย่างเต็มตัว เพื่อวางแผนสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ

กลยุทธ์หลักคือการเติบโตผ่านการร่วมมือกับเชนโรงแรมระดับโลกอย่าง IHG (เจ้าของแบรนด์ InterContinental, Holiday Inn, Staybridge Suites) และ Accor (เจ้าของแบรนด์ ibis) รวมถึงการเข้าซื้อกิจการโรงแรมที่มีศักยภาพ เช่น การซื้อโรงแรมแบรนด์ ibis 3 แห่งในหัวเมืองท่องเที่ยวจากกลุ่มเอราวัณ ปัจจุบัน พอร์ตโรงแรมของ ออริจิ้น มีมูลค่า ณ สิ้นปี 2568 รวมกว่า 10 โครงการจำนวน 2,524 Keys มูลค่า 11,730 ล้านบาท และสร้างผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจ

1. กลุ่มโรงแรมหรูและโรงแรมสำหรับพักระยะยาวใจกลางกรุงเทพฯ

โรงแรมกลุ่มนี้เน้นเจาะตลาดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจระดับบน รวมถึงผู้ที่ต้องการที่พักพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ครบครันเหมือนอยู่บ้านในทำเลสุด Prime

  • Intercontinental Bangkok Sukhumvit: โรงแรมระดับลักซ์ชัวรีที่ร่วมมือกับเครือ IHG ตั้งอยู่ใจกลางสุขุมวิท-ทองหล่อ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจและไลฟ์สไตล์ที่สำคัญของกรุงเทพฯ ซึ่งล่าสุดมี Private Fund สนใจซื้อและสามารถขายหุ้นให้กับ Ci:z Technologies ในเครือ Ci:z Holdings Co., Ltd. ยักษ์ใหญ่ประเทศญี่ปุ่นทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดรับสุทธิ (Extra Cash) เพิ่มขึ้นกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้กำไรได้เลยในรอบไตรมาส 3/2568 หลังเปิด Operate ได้เพียง 2 ปี ตามแผนธุรกิจ
  • Staybridge Suites Bangkok Thonglor: เป็นโรงแรมแห่งแรกของ กลุ่มออริจิ้น ที่พัฒนาร่วมกับโนมูระ เรียลเอสเตท จากญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์ Extended Stay (การพักระยะยาว) ในย่านทองหล่อที่หรูหราและเต็มไปด้วยร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน
  • Staybridge Suites Bangkok Sukhumvit: ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 เป็นอีกหนึ่งโอเอซิสใจกลางเมืองที่เน้นการพักผ่อนเหมือนอยู่บ้าน มีห้องพักกว้างขวางพร้อมมุมครัวและพื้นที่ทำงาน

2. กลุ่มโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ

ออริจิ้น ได้ขยายพอร์ตโฟลิโออย่างรวดเร็วด้วยการเข้าซื้อกิจการโรงแรมแบรนด์ ibis จากกลุ่มเอราวัณ ทำให้มีโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมทันที

  • Ibis Hua Hin (ไอบิส หัวหิน): โรงแรมในเมืองตากอากาศยอดนิยม ใกล้ทะเล
  • Ibis Phuket Kata (ไอบิส ภูเก็ต กะตะ): ตั้งอยู่ใกล้หาดกะตะ ซึ่งเป็นหนึ่งในชายหาดที่มีชื่อเสียงของภูเก็ต
  • Ibis Styles Krabi Ao Nang (ไอบิส สไตล์ กระบี่ อ่าวนาง): โรงแรมในจังหวัดกระบี่ ใกล้แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงาม

3. กลุ่มโรงแรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

เพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวในพื้นที่ EEC วัน ออริจิ้น ได้เข้าไปเปิดโรงแรมในทำเลยุทธศาสตร์

  • Holiday Inn & Suites Sriracha-Laem Chabang:โรงแรมในศรีราชาที่ตอบโจทย์ทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวในพื้นที่แหลมฉบัง
  • Holiday Inn Express Rayong: โรงแรมในจังหวัดระยองที่เน้นความทันสมัยและสะดวกสบายและเป็นหนึ่งในแหล่งงานที่มีศักยภาพ

4. กลุ่มโรงแรมคอนเซ็ปต์พิเศษ

  • Wellness Stay & Hotel Sukhumvit 107: เป็นโรงแรมที่มีคอนเซ็ปต์โดดเด่นด้านสุขภาพ (Wellness) โดยมีบริการออนเซ็นส่วนตัวและสปาเพื่อการฟื้นฟูร่างกาย ตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS แบริ่ง เดินทางสะดวกไม่แออัด

ธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์ (Alpha Industrial Solutions)

ออริจิ้น จับกกระแสเมกะเทรนด์ของ E-commerce และการขนส่ง ได้ร่วมทุนกับ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD จัดตั้ง บริษัท อัลฟ่า อินดัสเตรียล โซลูชั่นส์ จำกัด (ALPHA) ขึ้น เพื่อพัฒนาคลังสินค้าให้เช่าทั้งในรูปแบบสร้างตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และคลังสินค้าสำเร็จรูป (Ready-Built) ในทำเลยุทธศาสตร์ ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง สะท้อนจากอัตราการเช่าที่เกือบเต็มตลอดเวลาราว 95% พร้อมตั้งเป้าขยายเพิ่มพื้นที่เช่าเป็น 1 ล้านตารางเมตรภายใน 5 ปี ปัจจุบันมี 7 โลเคชั่นในทำเลยุทธ์ศาสตร์สำคัญ ได้แก่ ทำเลรังสิต, บางนา กม.22, บางนา กม.19, บางนา กม.23, แหลมฉบัง, พานทอง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมพื้นที่กว่า 410,744 ตารางเมตร ซึ่ง ณ ไตรมาส 2/2568 มีพื้นที่เปิดดำเนินการแล้วกว่า 311,850 ตารางเมตร อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกจำนวน 98,924 ตารางเมตร

ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าคลังสินค้าของ Alpha เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก และสามารถสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและสม่ำเสมอให้กับเครือออริจิ้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงและสร้างความสมดุลให้กับพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มบริษัท

ธุรกิจบริการ (Service Business – Primo Service Solution)

เพื่อส่งมอบความประทับใจและบริการที่ดีที่สุดหลังการขายที่ตอบโจทย์ในทุกมิติ ออริจิ้น มองการพัฒนาที่ครอบคลุมงานบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร โดยจัดตั้ง บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ PRI ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าตลอดการอยู่อาศัยในระยะยาว (Customer Lock-in) และสามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องให้กับกลุ่มบริษัท ภายใต้วิสัยทัศน์ “Super Living Service” ซึ่งประกอบด้วยบริการ 3 กลุ่มหลัก

  1. Pre-Living Service: บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย เช่น ที่ปรึกษาการลงทุน, นายหน้าซื้อ-ขาย-เช่า, บริการออกแบบและตกแต่ง
  2. Living Service: บริการระหว่างการอยู่อาศัย เช่น การบริหารนิติบุคคล, บริการทำความสะอาด, งานช่าง และการรักษาความปลอดภัย
  3. Living & Earning Service: บริการที่ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญ คือการช่วยเจ้าของห้องสร้างรายได้จากการปล่อยเช่า พรีโมจะเข้ามาช่วยบริหารจัดการทุกอย่าง เปลี่ยนให้ห้องชุดของลูกค้ากลายเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างง่ายดาย

พรีโมได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่าง ออริจิ้น กับลูกค้า จาก “ผู้ซื้อ-ผู้ขาย” ที่จบในครั้งเดียว ให้กลายเป็น “พันธมิตร” ในระยะยาว และเช่นเดียวกับ บริทาเนีย พรีโม ก็ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปลดล็อกศักยภาพและมุ่งสู่การเติบโตอย่างเต็มที่ จนมาถึงวันนี้ พรีโม ได้เติบโตและมีโครงสร้างทางธุรกิจที่ น่าสนใจเดินตามรอยบริษัทแม่อย่างออริจิ้นโดย โครงสร้างธุรกิจของพรีโมฯ สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มธุรกิจย่อยต่างๆ ภายใต้บริษัทในเครือดูแลบริการเฉพาะทาง ดังนี้

1. กลุ่มบริหารจัดการทรัพย์สินและนายหน้า (Property Management & Sole Agent) กลุ่มนี้เน้นการบริหารนิติบุคคลอาคารชุดและหมู่บ้านจัดสรร รวมถึงการเป็นตัวแทน ซื้อ-ขาย-เช่า และที่ปรึกษาด้านการลงทุน

    • PMM PROPERTY MANAGEMENT: บริหารจัดการทรัพย์สินและนิติบุคคล

    • CROWN RESIDENCE: บริหารจัดการทรัพย์สินและนิติบุคคลกลุ่ม Luxury โดยทีมงานที่มีประสบการณ์

    • PASSION REALTOR: นายหน้าและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์

    • HAMPTON HOTEL AND RESIDENCE MANAGEMENT: บริหารจัดการโรงแรมและเรสซิเดนซ์

2. กลุ่มออกแบบและตกแต่งภายใน (Wyde Interior) ให้บริการด้านการออกแบบ ตกแต่ง และบริการที่เกี่ยวข้องกับการย้ายเข้าอยู่อาศัย

3. กลุ่มธุรกิจประกันภัย (Insurance)

    • PRIM INSURANCE: นายหน้าประกันวินาศภัย

4. กลุ่มบริหารงานก่อสร้างและโครงการ (Construction & Project Management) ให้บริการควบคุมและบริหารงานก่อสร้างโครงการต่างๆ

    • UNITED PROJECT MANAGEMENT (UPM):บริหารและควบคุมงานก่อสร้าง

    • UPM DESIGN STUDIO: สตูดิโอออกแบบ

    • UPM ACADEMY: สถาบันฝึกอบรม

    • UPM MONITORING & LABORATORY:บริการตรวจสอบและห้องปฏิบัติการ

    • UPM INSPECTION: บริการตรวจรับบ้านและคอนโด

    • PROJECT ASIA: บริหารและควบคุมงานก่อสร้าง

5. กลุ่มบริการครบวงจร (UNO Services) มุ่งเน้นบริการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน

    • NU MAID (นู๋เมด): บริการทำความสะอาด

    • NAY CHANG (นายช่าง): บริการช่างเทคนิคและซ่อมบำรุง

    • UNO FACILITY MANAGEMENT: บริการบริหารจัดการอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวก

    • DOOR MART: บริการจัดส่งพัสดุจากนิติบุคคล จัดส่งสินค้าอุปโภค บริโภค สินค้าเดลิเวอรี่ และสินค้าออนไลน์ พร้อมบริการเสริมสำหรับลูกบ้านในคอนโดฯ ถึงหน้าประตูห้อง

6. กลุ่มพัฒนาระบบ (System Development)

    • LIVTECH LAB: พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย

โครงสร้างนี้ทำให้ พรีโม สามารถให้บริการที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของลูกค้าอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างแท้จริง ตั้งแต่การให้คำปรึกษา, การออกแบบ, การก่อสร้าง, การเข้าอยู่, การบริหารจัดการระหว่างอยู่อาศัย ไปจนถึงการลงทุน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่งให้กับเครือออริจิ้น

พันธมิตรกุญแจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน

หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้ ออริจิ้น สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วคือการใช้กลยุทธ์ การร่วมทุน (Joint Venture) อย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกับ “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” กลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น การร่วมทุนนี้ไม่ได้นำมาซึ่งเงินทุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี มาตรฐานการก่อสร้างระดับสากล และความน่าเชื่อถือในการต่อยอดธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ช่วยกระจายความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่

การร่วมทุนเป็นหัวใจหลักของการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มบริษัท โดยในปี 2568 กลุ่มบริษัทมีโครงการร่วมทุนจำนวน 120 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการกว่า 189,064 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนในธุรกิจทั้ง คอนโดมิเนียม, บ้านจัดสรร, โรงแรม ไปจนถึงคลังสินค้า และตัวเลขที่น่าสนใจของ Q2 2568 นี้ กลุ่มบริษัทฯมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่สูงถึงกว่า 43,336 ล้านบาท รอรับรู้รายได้ต่อเนื่องจนถึงปี 2571 ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความมั่นคงของบริษัทได้เป็นอย่างดี

ออริจิ้น ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับความสำเร็จในอดีต แต่ยังคงวางแผนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดขายรอรับรู้รายได้ที่จะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2571 โดยยังคงเน้นทำเลศักยภาพในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (BMR) และกระจายตัวไปยังหัวเมืองต่างจังหวัดทั่วประเทศ

ในฐานะองค์กรสมัยใหม่ ออริจิ้น ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์ แต่เป็นการลงมือทำอย่างจริงจัง กลุ่มบริษัทได้ประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon) ภายในปี 2587 พร้อมทั้งมีแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์และจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ในโครงการใหม่ทุกแห่ง ความมุ่งมั่นนี้ได้รับการยอมรับจากภายนอกผ่านการจัดอันดับด้าน ESG ในระดับสูงสุด ‘AAA’ จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2567 และการได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน (THSI) ซึ่งเป็นการยืนยันว่าออริจิ้นมุ่งสร้างคุณค่าในระยะยาว ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืน

นี่คือเส้นทางของอาณาจักรแสนล้านของออริจิ้น
ที่เริ่มจากความฝันเล็กๆ ของ พีระพงศ์ และ อารดา จรูญเอก ที่มีใจรักในอสังหาฯ

ติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://oriurl.com/ye9jjac3 หรือโทร 1498

 

โพสที่เกี่ยวข้อง