ครึ่งปีแรกยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศหดตัวเหลือ 142,619 ยูนิตลดลง -10.7% ประเมินทั้งปี’68ขยายตัวใกล้เคียงปีก่อน

เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งปีแรก จากผลกระทบทางตรงและทางอ้อมของวมาตรการภาษีสหรัฐฯ ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ SME  ลูกจ้าง และผู้ประกอบการอาชพอิสระ ทำให้กำลังซื้อของประชาชนมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้ชะลอการเปิดตัวโรงการใหม่ ทำให้การเปิดขายโครงการใหม่ลดลง จากจำนวนสินค้าเหลือขายที่มีอยู่จำนวนมาก ขณะที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการในการปล่อยสินเชื่อ จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น และปัญหาการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

กมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 2 และช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่า  โดยช่วงไตรมาส 2มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านใหม่และบ้านมือสองทั้งหมด 77,343 ยูนิต ลดลง -7.7% จาก 86,805 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านมือสอง 50,292 ยูนิต และบ้านใหม่ 27,051 ยูนิต โดยเฉพาะในส่วนของอาคารชุดลดลงถึง -17.5% จาก 28,301 ยูนิต เหลือ 23,361 ยูนิต เนื่องจากช่วงหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ทำให้การการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในเดือนเมษายนลดลงถึง -43.1% จำนวน 5,154 ยูนิต ขณะที่ช่วงเดียวกันของปี 2567 มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด  7,507 ยูนิต

ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 2 มีจำนวน 53,982 ยูนิต เพิ่มขึ้น 24.2 % จากไตรมาส 1 ที่มีจำนวน 43,462 ยูนิต และมีมูลค่า 156,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.8% จากไตรมาส 1 ที่มีมูลค่า 125,557 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ลดลงประมาณ 4,522 ยูนิต

“การประกาศใช้มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ ทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท และการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งผลให้อุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยมีจำนวน 77,343 หน่วย เพิ่มขึ้น 18.5% จากการโอนในไตรมาส 1 ที่มีจำนวน 65,276 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 210,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.7% จากยอดการโอนในไตรมาส 1 ที่มีมูลค่า 181,545 ล้านบาท”

กทม.แชมป์ยอดโอนกรรมสิทธิ์ไตรมมาส 2สูงสุด 33,434 ยูนิต 

สำหรับจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2ที่ผ่านมา คือ กรุงเทพฯ จำนวน 33,434 ยูนิต  มูลค่า 137,923 ล้านบาท รองลงมาเป็นจังหวัดชลบุรีจำนวน 13,840ยูนิต มูลค่า 36,069 ล้านบาท และจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 9,783 ยูนิต มูลค่า 29,775 ล้านบาท

ส่วนระดับราคาสินค้าบ้านใหม่ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดในช่วงไตรมาส 2 จะอยู่ในช่วง  2-5 ล้านบาท มีจำนวน  14,202 ยูนิต ขณะที่กลุ่มสินค้าราคา 1.51- 2ล้านบาทมีจำนวน 3,536 ยูนิต และราคา 1.01-1.5 ล้านบาทมีจำนวน 2,721 ยูนิต

ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งสิ้น 142,619 ยูนิต ลดลง  -10.7%  และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่  391,601 ล้านบาท ลดลง -13.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนในไตรมาส 3 นี้ REIC ประเมินว่าหน่วยโอนกรรมที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจะขยับเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ไปอยู่ที่ 94,991 ยูนิต และสูงกว่าไตรมาส 3 ของปี 2567 ที่มีจำนวน 90,627 ยูนิต    และคาดว่าทั้งปี 2568 จะมีที่อยู่อาศัยโอนกรรมสิทธิ์ 343,578 ยูนิต ลดลงประมาณ -1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 347,799 ยูนิต และมีมูลค่า 964,027 ล้านบาท ลดลง -1.7% จากปี 2567 ที่มีมูลค่า 980,648 ล้านบาท

มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดต่างชาติลด –16.9% จับตาลูกค้าพม่าเพิ่มต่อเนื่อง

ด้านข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติในไตรมาส 2 ปี 2568 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีจำนวน 3,248 ยูนิต ลดลง -2.2% และมีมูลค่า 12,318 ล้านบาท ลดลง -16.9% ส่งผลให้สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติคิดเป็น 13.9% ของการโอนทั้งระบบ ซึ่งลดลงจากไตรมาสก่อน ที่มีสัดส่วน 18.0% และมีมูลค่า 23.1% ลดลงจากไตรมาสก่อน ที่มีสัดส่วน 29.3%

โดยชาวต่างชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศสูงสุด ได้แก่ ลูกค้าชาวจีน แต่มีแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดลดลงต่อเนื่อง โดยในไตรมาสนี้มีจำนวน 899 ยูนิต ลดลง -28.8% และมีมูลค่า 3,391 ล้านบาท ลดลง -39.4% คาดว่ากำลังซื้อชาวจีนมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังปี 2568

ขณะที่ลูกค้าชาวพม่ามีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 533 ยูนิต เพิ่มขึ้น 119.3% มูลค่า 1,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.9% ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาและมีจุดศูนย์กลางอยู่ในเมียนมา บริเวณรอยเลื่อนสะกาย ทำให้บ้านเรือนของชาวพม่าได้รับความเสียหายค่อนข้างหนัก คาดว่ากำลังซื้อของชาวพม่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังมีการโอนกรรมสิทธิ์จากลูกค้าชาวรัสเซีย ไต้หวัน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมัน อินเดีย และญี่ปุ่น

สินเชื่อปล่อยใหม่ไตรมาส 2เพิ่มขึ้น 22.6% จากไตรมาส 1

ด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 มีมูลค่า 134,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.6% จากไตรมาส 1 ที่มีมูลค่า 109,368 ล้านบาท และลดลง -6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 143,409 ล้านบาท ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ มูลค่า 243,483 ล้านบาท ลดลง -7.9%
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 264,330 ล้านบาท โดย REIC คาดการณ์ว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่
ทั่วประเทศในปี 2568 จะมีมูลค่าประมาณ 582,800 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2567 ซึ่งมีมูลค่า 584,843 ล้านบาท

 เปิดขายใหม่พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลครึ่งปีแรก17,988 ยูนิต ลดลง -46.9%

ขณะที่ข้อมูลอุปทานโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ- ปริมณฑลช่วงครึ่งแรกปี 2568 มีจำนวน 17,988 ยูนิต ลดลง -46.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบ้านแนวราบลดลง -58.1% และอาคารชุดลดลง -34.1% เนื่องจากช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จำนวน 6,165 ยูนิต ลดลงมากถึง -64.6% ซึ่งเป็นจำนวนการเปิดขายที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการสำรวจข้อมูลเป็นรายไตรมาส โดยเริ่มสำรวจข้อมูลตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการลดลง 6 ไตรมาสต่อเนื่อง แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 3,770 ยูนิต ลดลง -59.7% และอาคารชุด 2,395 ยูนิต ลดลง -70.4%

อย่างไรก็ตาม REIC คาดว่าทั้งปี 2568 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลจะมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ จำนวน 52,000 ยูนิต ลดลง -17.2% จากปี 2567 หรือลดลงไปใกล้เคียงกับปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 มูลค่าที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่คาดว่าจะมีประมาณ 390,000 ล้านบาท ลดลง -22.2% จากปี 2567

โพสที่เกี่ยวข้อง