บอร์ดดุสิตธานีแต่งตั้งชนินทธ์ โทณวณิกควบกรุ๊ปซีอีโอแทน“ศุภจี สุธรรมพันธุ์”หลังเตรียมนั่งเก้าอี้รมว.พาณิชย์รัฐบาลอนุทิน

คณะกรรมการดุสิตธานีมีมติแต่งตั้ง “ชนินทธ์ โทณวณิก” รักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) หลังจาก “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ขอเกษียณก่อนครบกำหนด มีผลตั้งแต่วันที่12 กันยายน 2568 เป็นต้นไป มั่นใจไม่กระทบการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานี

ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า บริษัทได้รับแจ้งจากนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ขอเกษียณอายุก่อนครบกำหนดจากตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานีหลังจากที่ได้เข้ามาร่วมงานกับกลุ่มดุสิตธานีมาตั้งแต่ปี 2559  เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมเศรษฐกิจของอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบและแต่งตั้งชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มควบอีกหนึ่งตำแหน่ง เพื่อให้การบริหารจัดการและนโยบายต่าง ๆ ในระยะเปลี่ยนผ่าน สามารถดำเนินต่อไปได้

ทั้งนี้ศุภจีได้เข้ามาช่วยบริหารงานในดุสิตธานีตั้งแต่ปี2559 รวมทั้งอยู่ในช่วงที่บริษัทกำลังดำเนินการลงทุนโครงการขนาดใหญ่คือดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่มีมูลค่าสูงถึง 46,000 ล้านบาท แต่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดหลายปี แต่ศุภจีก็สามารถดำเนินการบริหารและพัฒนาโครงการได้สำเร็จ โดยเฉพาะโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯโฉมใหม่ ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” เปิดให้บริการแล้วเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567ที่ผ่านมา ดังนั้นการที่คุณศุภจีจะเข้าไปช่วยงานของรัฐบาลชุดใหม่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กลุ่มกลุ่มดุสิตธานีพร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่

บริษัทขอขอบคุณคุณศุภจีสำหรับความทุ่มเท ความเป็นผู้นำ และวิสัยทัศน์ที่ได้หล่อหลอมองค์กรตลอดที่ผ่านมา จนภารกิจในการวางรากฐานให้กลุ่มดุสิตธานีพร้อมที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถสำเร็จลุล่วงด้วยดี และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คุณศุภจีจะได้ใช้ความรู้ความสามารถทำงานรับใช้ชาติและประชาชน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ และหากภารกิจของชาติเสร็จสิ้นเป็นเรียบร้อย กลุ่มดุสิตธานีก็พร้อมจะต้อนรับคุณศุภจีกลับมาร่วมงานเสมอ”

ส่วนแผนการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานีนับจากปีนี้ไปจะก้าวสู่รากฐานที่มั่นคงในการสร้างรายได้กว่า 10,000 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทได้ลงทุนโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์คมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท แต่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิดระบาดเป็นเวลา 3 ปี ทำให้การก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนดประมาณ 2 ปี และส่งผลให้บริษัทขาดทุนสะสมมากกว่า 1,000 ล้านบาท และไม่จ่ายปันผลมา 5 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากดอกเบี้ยของโครงการ

แต่ขณะที่การขายคอนโดมิเนียมในช่วงโควิด-19 ของโครงการระดับลักชัวรี The Residences at Dusit Central Park ประกอบด้วย ดุสิต เรสซิเดนเซส และดุสิต พาร์คไซด์ สามารถทำยอดขายได้ถึง 40% ล่าสุดโครงการทำยอดขายได้แล้ว 94% คิดเป็นยอดขายเกือบ 16,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยโอนห้องชุดให้กับลูกค้าตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป และคาดว่าปี 2569 จะมีรายได้จากการโอนห้องชุดประมาณ 80%จากมูลค่าโครงการรวม 17,000 ล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทได้ขยายกลุ่มธุรกิจจาก 2 เป็น 5  ประกอบกอบด้วยธุรกิจโรงแรม, การศึกษา, อาหาร, อสังหาริมทรัพย์ และการบริหาร โดยเพิ่มจำนวนโรงแรมและวิลลาที่บริหารจาก 27 เป็น 297 แห่งใน 18 ประเทศ และเพิ่มแบรนด์โรงแรมจาก4 แบรนด์เป็น9แบรนด์

ทั้งนี้การบริหารความเสี่ยงดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตทางการเงินมาได้ โดยรายได้จากการขายคอนโดมิเนียมทั้งสองอาคาร คาดว่าจะช่วยให้หนี้สินเกือบทั้งหมดหมดไปในปีหน้า และสามารถล้างขาดทุนสะสมได้ในปีถัดไป สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นทางการเงิน และความสามารถในการฟื้นตัวและสร้างผลกำไรในอนาคต

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก และสามารถทำให้ดุสิตธานีเป็นหมุดหมายที่สำคัญของประเทศไทยจากนักเดินทางทั่วทุกมุมโลก พร้อมกันนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงาน ทั้งผู้ถือหุ้น กรรมการบริษัท ผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าของดุสิตธานี ที่ร่วมแรงร่วมใจฝ่าฟันวิกฤติรวมทั้งปัจจัยท้าทายจนทำให้แบรนด์ “ดุสิตธานี” เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สง่างาม และภาคภูมิใจ

สำหรับการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานีหลังจากนี้จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากแผนงานเดิมที่ได้ถูกวางรากฐานไว้อย่างมั่นคงตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา โดยมีการสร้างรากฐานไว้เรียบร้อยแล้ว และได้ผ่านพ้นจุดที่ยากลำบากที่สุดไปแล้ว ทำให้ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะเห็นแต่สิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกลับกลุ่มดุสิตธานี โดยเฉพาะการล้างขาดทุนสะสมสำเร็จจากธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park) มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ที่จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้

โพสที่เกี่ยวข้อง