เซ็นทรัลพัฒนาฯขยายอาณาจักรศูนย์การค้าแห่งใหม่”The Central”ทำเลทองย่านพหลโยธินเปิดตัวปลายปี’69

หลังจากประกาศแผนลงทุนระยะยาว 5-10 ปีนับตั้งแต่ปี 2566 กลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาฯจะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสหรือ Mega Projects จำนวน 5 โครงการขนาดใหญ่เทียบเท่า “เซ็นทรัลเวิลด์” บนทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อปั้นแลนด์มาร์กใหม่และยกมาตรฐานให้กรุงเทพฯเทียบเท่ามหานครระดับโลก อย่างนิวยอร์ก โตเกียว และกรุงโซล

 โดยหนึ่งใน Mega Projects ที่ถูกจับตามากที่สุดของกลุ่มเซ็นทรัลฯ คือ ที่ดินผืนใหญ่ขนาด 48-2-96.8 ไร่ติดถนนพหลโยธินและถนนวิภาวดีรังสิต ฝั่งตรงข้ามกับสวนสนุกแดนเนรมิตเดิม ซึ่งก่อนหน้านี้มีหลายกระแสข่าวว่าโปรเจ็กต์นี้จะมาแทนที่ “เซ็นทรัล ลาดพร้าว” เดิม ซึ่งเป็นโครงการ Mixed-Use แห่งแรกของบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2525 บนที่ดินเช่าของการรถไฟแห่งประเทศไทยบริเวณห้าแยกลาดพร้าว ล่าสุดกำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาต่อสัญญาเช่ากับการรถไฟฯ

ล่าสุดกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาฯได้ประกาศเปิดตัวเมกะโปรเจ็กต์ระดับ The Flagship of the Future แห่งใหม่ที่ชื่อว่า “The Central พหลโยธิน” ใช้งบลงทุนสูงถึง 21,000 ล้านบาท ตั้งติดอยู่ถนนพหลโยธินและถนนวิภาวดีรังสิต ฝั่งตรงข้ามกับสวนสนุกแดนเนรมิต

ชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าและกลุ่มงานพัฒนาโครงการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เปิดเผยว่า เพื่อตอกย้ำความสำเร็จโมเดลธุรกิจ “The Ecosystem for All” บริษัทได้พัฒนาเมกะโปรเจ็กต์ “The Central พหลโยธิน”ศูนย์การค้าระดับแฟล็กชิพเฟสแรก มูลค่าโครงการ 21,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดิน 49 ไร่ คิดเป็นพื้นที่ GBA (Gross Building Area) หรือพื้นที่ทั้งหมดของอาคารห้างสรรพสินค้ารวม 457,409 ตารางเมตร พร้อมด้วย Convention Hall ขนาดใหญ่กว่า 6,700 ตารางเมตร โดยออกแบบเป็นอาคารสูง 7 ชั้นพร้อมชั้นใต้ดิน 3 ชั้น คาดว่างานก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี2569 เพื่อยกระดับกรุงเทพฯ สู่มหานครระดับโลก สะท้อนศักยภาพย่านพหลโยธินที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดเทียบชั้น CBD กรุงเทพฯ

โดยเน้นการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด “Center of life”  และ “Social Club” ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่มากกว่าศูนย์การค้า  เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตและการเข้าสังคมที่ให้ผู้คนเข้ามาใช้ชีวิต, พบปะสังสรรค์ และมาใช้เวลาร่วมกันซึ่งคาดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่การสร้างแรงจูงใจให้ Developer หลายรายเข้ามาร่วมกันเพื่อทำให้ Airway เติบโตขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

ยกระดับสู่ The Next CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

ทั้งนี้โครงการเดอะ เซ็นทรัล พหลโยธิน ได้ถูกวางตำแหน่งให้เป็นโครงการเรือธง (Flagship) ที่จะมาต่อยอดความสำเร็จของห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว และจะสร้างผลกระทบที่สำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ โซนเหนือ โดยมุ่งเน้นการเป็น “The Future of Bangkok” ที่จะยกระดับเมือง ยกระดับย่าน และคุณภาพชีวิตของผู้คนไปพร้อมกัน

โดยห้างเดอะ เซ็นทรัล พหลโยธินจะเข้ามาเสริมศักยภาพของย่านนี้ให้เต็มที่ เนื่องจากกรุงเทพฯโซนเหนือยังขาดศูนย์การค้าในระดับ A+และจะสร้าง CBD District แห่งใหม่ และจะยกระดับพื้นที่นี้ให้เป็น Another  Central CBD district ของกรุงเทพฯ รวมทั้งจะดึงดูดแบรนด์ระดับโลกและแฟล็กชิปสโตร์ (Flagship Brands) โดยเฉพาะแบรนด์ใหญ่ที่ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าที่เคยมีในห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว

แนวคิดนี้เปรียบเสมือนการย้ายศูนย์การค้าขนาดใหญ่อย่าง Central World ไปอยู่ในอีกจุดหนึ่ง เพื่อสร้างความสะดวกและการเติบโตของย่าน นั่นคือย่านพพลโยธิน ซึ่งจะมีทั้งห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว และห้าง The Central พหลโยธิน ที่ตั้งอยู่ห่างกันเพียง 300เมตร ทำให้ผู้คนสามารถเดินเชื่อมต่อกันได้ ขณะที่ย่าน ”ลาดพร้าว–พหลโยธิน“ มีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะมีทราฟฟิค (Traffic) ที่ประมาณ 1-1.3 แสนคนต่อวัน และเมื่อรวมพื้นที่ 2ห้างรวมกันจะทำมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพียงพอที่จะช่วยดึงดูดร้านค้าขนาดใหญ่ (Flagship Store) และการขยายแบรนด์เดิมที่มีอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้วในห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าวที่อาจจะมีพื้นที่เดิมเล็กไป ทำให้บางแบรนด์สินค้าต้องการขยายพื้นที่ของตัวเอง พร้อมทั้งปรับเปลี่ยน concept ใหม่ด้วย

ทั้งนี้ตลอด 45 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาได้พัฒนาโครงการระดับ World-Class มาอย่างต่อเนื่องและทุกโครงการถือเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับย่านต่างๆ ของเมือง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นของเซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งเป็น Mixed-Use แห่งแรกของไทยที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงและหล่อหลอมบริษัทและอุตสาหกรรมนับตั้งแต่ปี 2525เป็นต้นมา และเป็นโครงการ Visionary Shift ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการรีเทลของไทย ซึ่งยังคงประสบความสำเร็จอย่างมากมาจนถึงปัจจุบัน

พื้นที่เดิมบริเวณเซ็นทรัล ลาดพร้าวในอดีตเมื่อ40 กว่าปีที่แล้วเคยเป็นทุ่งนา แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ราคาที่ดินของย่านนี้จัดอยู่ในท็อป 10 ของประเทศไทย และมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมาก โดยมีอัตราการเติบโตมากกว่าย่านใจกลางเมืองหลายทำเล โดยมีปริมาณทราฟฟิกมากกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์การค้าทั่วไปเกิน 2 เท่า และมีจำนวนลูกค้าเกือบ 3 เท่า ทำให้พื้นที่ขายปัจจุบันไม่เพียงพอต่อความต้องการของกลุ่มผู้ค้า

ทั้งนี้ในพื้นที่ภายในรัศมี 10 กิโลเมตรของที่ตั้งโครงการ เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและมีลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงอยู่มาก โดยมีโครงการที่อยู่อาศัยที่มีกำลังซื้อเกือบ 500 โครงการ อาคารสำนักงานกว่า 50 อาคาร โรงเรียน 51 แห่ง มหาวิทยาลัย 9 แห่ง และโรงเรม 41 แห่ง รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการคมนาคม โดยเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่มีทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) และ BTS ซึ่งมีเพียงไม่กี่จุดในประเทศที่เชื่อมต่อกันในลักษณะนี้ สามารถสร้าง Traffic เกิน 50,000 คนต่อวัน

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีความเชื่อมั่นในโครงการ The Central  พหลโยธิน ที่มีศักยภาพใน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ Location Power ศักยภาพของโลเคชั่น โครงการตั้งอยู่บนถนนสองสายหลัก คือวิภาวดีรังสิตและพหลโยธิน ปัจจุบันมีรถยนต์สัญจรผ่าน 337,000 คันต่อวัน รวมถึง MRT สายสีน้ำเงินมีผู้โดยสาร 15,600 คนต่อวัน และ BTS สายสีเขียว ที่มีผู้โดยสาร 35,100 คนต่อวัน ส่วนในอนาคตหลัง The Central เปิดให้บริการคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก 30% อีกทั้งย่านนี้ยังเชื่อมไปสู่ สนามบินดอนเมือง ที่ปัจจุบันรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 30 ล้านคนต่อปี และกำลังเตรียมขยายโครงการเพื่อเพิ่มศักยภาพตามแผนงานของรัฐ ทำให้ดึงดูดลูกค้าคนไทยและต่างชาติเข้ามายังย่านลาดพร้าว-พหลโยธินมากขึ้น

Market Magnet โครงการ The Central พหลโยธิน จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดการเติบโตใหม่ๆ และจะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ยกระดับย่านนี้ให้กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจและไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยย่านนี้มีดีมานด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Catchment Area ที่มีประชากรประมาณ 2.5 ล้านคนและจากฐานข้อมูลอ้างอิงจาก CPN พบว่าในย่านนี้มีกลุ่มลูกค้า Wealth Segment กำลังซื้อสูงกว่าค่าเฉลี่ยคนกรุงเทพฯถึง 2.3 เท่า อีกทั้งมียอดขายต่อพื้นที่ (Sales per GLA) สูงกว่าค่าเฉลี่ยศูนย์การค้าในกรุงเทพฯ ถึง 45% และจำนวนผู้ใช้บริการมากกว่าศูนย์การค้าในกรุงเทพฯ โดยเฉลี่ยถึง 2.19 เท่า

Flagship of Sub-Culture Communities พื้นที่ที่เปิดรับคนรุ่นใหม่และคนทุกกลุ่ม รองรับกิจกรรมที่หลากหลาย นอกจากนี้ พื้นที่การจัดงานยังรองรับ Multi-Cultural Events และในส่วน Convention Hall มีพื้นที่กว่า 6,700 ตารางเมตร สามารถรองรับคอนเสิร์ตและอีเว้นท์ระดับโลกอีกด้วย

อ่านข่าวประกอบ:https://prop2morrow.com/822711/

โพสที่เกี่ยวข้อง