ราคาคอนโดฯระดับอัลตร้าลักชัวรีของกรุงเทพฯ กำลังร้อนแรงในช่วงนี้ หลังจากที่มีหลายโครงการเปิดตัวกันในระดับเกิน 3 แสนบาทต่อตารางเมตร ทำให้คาดการณ์กันว่านับจากปลายปีนี้เป็นต้นไปราคาคอนโดฯกลุ่มอัลตร้าลักชัวรีจะมีการปรับขึ้นแบบก้าวกระโดด
โดยเฉพาะคอนโดฯในย่านใจกลางเมือง ที่มีความเชื่อมั่นว่าราคาขายต่อตารางเมตรจะเกิน 1 ล้านบาทอย่างแน่นอน รองรับกำลังซื้อกลุ่มเศรษฐีคนไทยและนักลงทุนต่างชาติที่มองว่าคอนโดฯหรูไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่สามารถเก็บเป็นมูลค่าและสร้างสถานะทางสังคมไปพร้อมกัน
ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ระบุว่า ตลาดคอนโดฯระดับ Ultra Luxury ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในย่าน Super Prime Area ของกรุงเทพฯ เช่น ทองหล่อ–พร้อมพงษ์–เอกมัย, วิทยุ–หลังสวน–ลุมพินี และ สาทร รวมถึงในพื้นที่ย่านริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ถือเป็นทำเลทองคำที่หายากและมีอุปสงค์สูงจากทั้งชาวไทยฐานะดีและนักลงทุนต่างชาติ เพราะสะดวกต่อการใช้ชีวิต ใกล้ย่านธุรกิจ โรงแรมหรู ร้านอาหารชั้นนำ และแหล่งไลฟ์สไตล์ระดับโลก

นอกจากนี้คอนโดฯระดับ Ultra Luxury ที่เปิดขายยังมาพร้อมกับมาตรฐานระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับแบรนด์โรงแรมและดีไซน์เฮาส์ระดับโลก เช่น Aman หรือ Porsche Design ซึ่งช่วยสร้างคุณค่าเชิงแบรนด์ ทำให้โครงการเหล่านี้ไม่ได้ขายเพียงแค่พื้นที่อยู่อาศัย แต่ขายประสบการณ์และไลฟ์สไตล์เหนือระดับ ที่ตอบโจทย์กลุ่ม Ultra High Net Worth Individuals (UHNWI) ได้อย่างตรงจุด ขณะเดียวกันขนาดยูนิตที่ใหญ่เป็นพิเศษตั้งแต่ 300–1,135 ตารางเมตร ก็ได้สะท้อนให้เห็นว่าโครงการเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกลุ่มครอบครัวเศรษฐีที่ต้องการอยู่อาศัยจริง มากกว่าการเก็งกำไรในระยะสั้น ทำให้ตลาดมีเสถียรภาพและอุปสงค์จริงที่ต่อเนื่อง
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แม้เศรษฐกิจโลกจะผันผวน แต่ตลาดคอนโดมิเนียมหรูในกรุงเทพฯ กลับยังคงเติบโตอย่างมั่นคง และสะท้อนภาพลักษณ์ว่าเมืองหลวงของไทยกำลังถูกยกระดับขึ้นเป็นหนึ่งใน Luxury Real Estate Hub ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริง
ส่งผลให้ตลาดคอนโดฯระดับ Ultra Luxury ในกรุงเทพฯ กำลังก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ขึ้นเป็น “Luxury Real Estate Hub” แห่งใหม่ของเอเชียอย่างเต็มตัว โดยมีปัจจัยสำคัญที่ผลักดัน คือ ความต้องการของนักลงทุนและผู้ซื้อระดับนานาชาติที่มองหาอสังหาฯระดับเวิลด์คลาส สะท้อนได้จากยอดขายของคอนโดฯหรูที่ราคาพุ่งสูงถึง 500-1,000 ล้านบาทต่อยูนิต และยังคงทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง สะท้อนภาพให้เห็นว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่ตลาดภายในประเทศอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าจับตาเทียบเท่ากับมหานครชั้นนำอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ หรือดูไบ

ทั้งนี้จากข้อมูลย้อนหลัง 20 ปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่าคอนโดฯที่มีราคาเกิน 500,000 บาทต่อตารางเมตร มีจำนวนไม่ถึง 1,000 ยูนิต ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 3% ของซัพพลายรวมในรอบ 20 ปีที่มีประมาณ 600,000 กว่ายูนิต ส่วนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีคอนโดฯระดับ Ultra Luxury ที่มีราคาขายเฉลี่ยมากกว่า 300,000 บาทต่อตารางเมตรเปิดขายใหม่รวมทั้งหมด 6,625 ยูนิต มูลค่าการพัฒนารวมมากกว่า 205,090 ล้านบาท
ขณะที่ปัจจุบันโดยเฉลี่ยต่อปีมีการเปิดตัวคอนโดฯระดับอัลตร้าลักชัวรีเพียง 800-900 ยูนิตเท่านั้น ส่งผลให้แนวโน้มราคาคอนโดฯในย่าน City Area คาดว่าจะมีการปรับราคาขึ้น 7-10% ส่วนพื้นที่รอบใจกลางเมืองจะมีการปรับราคาขึ้นประมาณ 3-5%

ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า ช่วงก่อนปี 2562 ตลาดมีจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่สูงถึง 5,072 ยูนิต แต่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้อุปทานปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน หลังจากนั้นตลาดเริ่มฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2567 มีคอนโดมิเนียม Ultra Luxury เปิดขายใหม่ 958 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงท่ามกลางการชะลอตัวของตลาดคอนโดฯโดยรวม แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้พัฒนาอสังหาฯในการเปิดตัวโครงการใหม่
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์สฯ คาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดคอนโดฯอัลตร้าลักชัวรีในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 – 2569 ยังคงแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะมีการเปิดขายใหม่มากกว่า 1,000 ยูนิต ส่วนใหญ่พัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในตลาด Ultra Luxury กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง

3 โปรเจ็กต์อัลตร้าลักชัวรีเตรียมเปิดตัวช่วงปลายปีนี้ราคาขายต่ำสุดสตาร์ท3 แสนต่อตร.ม.
โดยผู้พัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดคอนโดฯ Ultra Luxury ที่มีราคาขายมากกว่า 100 ล้านบาทต่อยูนิต ทั้งอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, เอสซี แอสเสท, แสนสิริ, ควอลิตี้เฮ้าส์, พราว เรียล เอสเตท และโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ที่ต่างเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการหรูเพื่อจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์อย่างต่อเนื่อง
ส่วนผู้พัฒนาอสังหาฯนอกตลาดหลักทรัพย์ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนตลาดคอนโดฯระดับอัลตร้าลักชัวรีด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น CG Capital , 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น, เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์, นายเลิศ ปาร์ค ดีเวลลอปเม้นท์ และแฟนเดอร์ เฮลเวติค ไทย ที่เน้นการสร้างจุดขายและเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากผู้เล่นรายใหญ่

โดยเฉพาะในช่วงปลายปีนี้จะมี 3 โครงการ Ultra Luxury เปิดขายใหม่ ประกอบด้วย Still Sukhumvit – โครงการร่วมทุนระหว่าง SC ASSET และ Tokyo Tatemono จำนวน 124 ยูนิต,โครงการ InterContinental Residences Bangkok Asoke – บนที่ดิน Freehold Branded Residences ของ CG Capital ติดซอยสุขุมวิท 16 ตรงข้ามตลาดปลาวาฬ มีจำนวนเพียง 88 ยูนิต และ โครงการของ Swire Properties (City Dynamic) เป็นอาคารไฮไรส์ 2 อาคารจำนวน 395 ยูนิต ประกอบด้วย อัปเปอร์ เฮาส์ เรสซิเดนเซส แบงค็อก (Upper House Residences Bangkok) สูง 52 ชั้นพร้อมชั้นใต้ดิน 6ชั้น จำนวน156 ยูนิต และเดอะ ไวร์เลส เรสซิเดนเซส บาย อัปเปอร์ เฮาส์ (The Wireless Residences by Upper House) สูง71ชั้น และชั้นใต้ดิน 5ชั้น จำนวน 239 ยูนิต

จับตาทำเล Riverside-Eastern Fringe ตัวเลือกสำหรับผู้ซื้อที่มองหาความพรีเมียมเฉพาะตัว
ทั้งนี้ทำเลศูนย์กลางเมืองหรือ City Area เช่น สุขุมวิท, ทองหล่อ, ชิดลม และสาทร ยังคงครองใจผู้ซื้อกว่า 80% ของโครงการ Ultra Luxury ทั้งหมด ด้วยเหตุผลในเรื่องของการเดินทางสะดวกผ่าน BTS และ MRT, ใกล้ร้านอาหารและแหล่งช้อปปิ้งระดับพรีเมียม รวมถึงเป็นจุดศูนย์รวมไลฟ์สไตล์และธุรกิจชั้นนำ ทำให้โครงการในทำเลนี้มักเป็น High-Rise Condominium ที่เน้นวิวเมืองอันโดดเด่น, การออกแบบทันสมัย, และบริการระดับหรู ทำเลใจกลางเมืองไม่เพียงดึงดูดผู้ซื้อ แต่ยังสร้างความมั่นใจด้านราคาขายต่อและความสามารถในการปล่อยเช่า ในขณะที่ทำเล Riverside และ Eastern Fringe กลายเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ซื้อที่มองหา ความสงบ ความพรีเมียมเฉพาะตัว และผลตอบแทนระยะยาว





