“สิงห์ เอสเตท” เปิดทิศทางขับเคลื่อน 4 แกนหลักสร้างธุรกิที่สมดุล เน้นธุรกิจที่มีรายได้ต่อเนื่องทั้งโรงแรม-ออฟฟิศ

สิงห์ เสเตทคือผู้พัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล ครอบคลุมธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ที่มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การเติบโตในมิติของรายได้และการขยายทรัพย์สินใน 4 ธุรกิจหลัก วันนี้สิงห์ เอทเตทกําลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ของการขับเคลื่อนธุรกิจ ที่มุ่งเน้นการวางรากฐานของความมั่นคงทางธุรกิจ ความแข็งแกร่งในการจัดหาเงินทุน และการเตรียมความพร้อมของบุคลากร เพื่อพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยยุทธศาสตร์‘A Stable Foundation Drives Sustainable Growth’ ภายใต้การบริกางานของ ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าทีบริหาร 

ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าทีบริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้วาง ‘4S’ เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนองค์กร ประกอบด้วย Stability, Strength, Synergy และ Sincerity เพื่อสร้างสมดุลให้ธุรกิจ และมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย Stability แกนการบริหารธุรกิจ เพื่อสร้างธุรกิจทีมั่นคงและสมดุล โดยพอร์ตโฟลิโอของบริษัทจาก 4 ธุรกิจหลัก แบ่งรายได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่มีรายได้แบบประจํา (Recurring income) จากธุรกิจโรงแรมและอาคารสํานักงาน และประเภทที่มีรายได้แบบไม่ประจํา (Non-recurring income) จากธุรกิจที่พักอาศัยและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งรายได้แต่ละประเภทเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน

โดยบริษัทได้วางกลยุทธ์สำคัญเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของอัตรากำไร (Profit Margin) และผลตอบแทนในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างฐานกำไรที่มั่นคงและสม่ำเสมอด้วยการเน้นธุรกิจที่มีรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income)โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม (Hotel) และธุรกิจอาคารสำนักงาน (Office) และลดการพึ่งพิงธุรกิจที่มีรายได้ไม่ต่อเนื่อง หลังจากธุรกิจที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอตัวลงมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 เป็นต้นมา

ปัจจุบันบริษัทกำลังสร้างฐานกำไรที่มั่นคงจากรายได้ประจำไว้ที่ประมาณ 70% และจะเน้นการสร้างฐานกำไรที่มั่นคงขึ้น แม้ว่าการเติบโตของรายได้โดยรวมในปีหน้าจะไม่ใช่จุดโฟกัสหลักก็ตาม โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม บริษัทจะเปลี่ยนกลยุทธ์จากการเน้นปริมาณไปสู่เกณฑ์คุณภาพ เพื่อรองรับการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 40 ล้านคนในปีหน้า โดดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เช่น ยุโรป อเมริกา หรือตะวันออกกลาง ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่าย (spending)ทั้งในส่วนของอาหารและสันทนาการอื่น ๆ ดีขึ้น จะส่งผลให้กำไรดีขึ้นตามไปด้วย

ส่วนธุรกิจที่พักอาศัย จะโฟกัสไปที่โครงการที่ดำเนินการแล้ว และสามารถทำกำไรกลับมาที่บริษัทได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่สำคัญกว่าการโฟกัสไปที่ยอดขายเพียงอย่างเดียว เนื่องจากความเชื่อมั่นและพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าลักชัวรีของบริษัท ที่ต้องพึ่งพาอารมณ์และความรู้สึก (Emotion) ของผู้บริโภค สิ่งที่ส่งผลกระทบมากที่สุดคือ Momentum หรือความเชื่อมั่นของประชาชน หากประชาชนไม่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว โอกาสในการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและการท่องเที่ยวก็จะลดลง แม้ว่าลูกค้ากลุ่มบ้านลักชัวรีจะไม่ได้มีฐานะทางการเงินที่ถูกกระทบมากนักจากสภาวะเศรษฐกิจ แต่พวกเขาจะมี “ความรู้สึก” (Emotion) ว่าสถานะทางการเงินไม่มั่นคงมากขึ้น

ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าที่ซื้อบ้านลักชัวรีเพื่อการลงทุนหรือเก็งกำไรได้หายไปจากตลาดอย่างสิ้นเชิง ทำให้ยอดขายและขนาดของตลาดบ้านลักชัวรีหดตัวลง จากเดิมที่ลูกค้าใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจใน 2-3 สัปดาห์ แต่ปัจจุบันเฉลี่ยเพิ่มเป็น 6-7 สัปดาห์

สําหรับธุรกิจที่สร้างรายได้แบบไม่ประจํา โดยลักษณะการลงทุนมีระยะเวลาการลงทุนและการรับผลตอบแทนที่สั้นกว่า ดังนั้นโครงการที่จะลงทุนควรมีความยืดหยุ่นตามสภาวะเศรษฐกิจ และต้องมองเห็นโอกาสแม้ในช่วงเวลา ที่ท้าทาย เช่น โครงการคอนโดมิเนียมริมแม่นํ้า “ONE RIVER พระราม 3” คอนโดหรูสูง 33ชั้นที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย “สิงห์ เอสเตท” จับมือ “วัน เรียลเอสเตท” ร่วมกันพัฒนา ปัจจุบันมียอดขายกว่า 90% ดังนั้นทิศทางการเติบโตของธุรกิจนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การหาผู้ร่วมลงทุน เพื่อต่อยอดเชิงธุรกิจ จากความชํานาญเฉพาะทางของแต่ละฝ่ายที่สามารถเกื้อหนุนกันได้ ในเชิงการเงินก็ช่วยเสริม ความแข็งแกร่งและลดความเสี่ยงซึ่งกันและกัน Strength

 “การดำเนินการในครั้งนี้เปรียบเสมือนการสร้างอาคารที่เปลี่ยนจากการพึ่งพาฐานรากที่เคลื่อนไหวได้ง่าย (กำไรจากธุรกิจไม่ต่อเนื่อง) ไปสู่การสร้างฐานรากที่แข็งแกร่งและลึกกว่า (กำไรจากรายได้ประจำ) เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว หลังจากปัจจัยท้าทายทางธุรกิจและเศรษฐกิจภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนและการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาและต่อเนื่องไปยังปีถัดไปนั้น มีความหลากหลายและถูกมองว่ามีความรุนแรงต่อเนื่องตลอดสามปีที่ผ่านมา”

สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจในปีนี้ มีสภาพแวดล้อมความเสี่ยงไม่แตกต่างจากปีที่แล้ว และเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่ถูก “เผาจริง” จากปัจจัยท้าทายหลักที่ส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินงานและการลงทุน ได้แก่ ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์ สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่อ่อนแอเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ปัญหาทางการเมือง ที่ยังมีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ สงครามการค้าและความขัดแย้ง ทั้งปัจจัยจากภายนอก เช่น สงครามการค้า ยังคงเป็นความเสี่ยงที่บริษัทต้องเผชิญการเติบโตของ GDP ที่ชะลอตัว ซึ่งจะเพิ่มความยากลำบากให้กับธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม

ขณะเดียวกันการกําหนดเป้าหมายชัดเจนของแต่ละธุรกิจยังมีส่วนสนับสนุนให้ผลการดําเนินงานและภาพรวม ทางการเงินของบริษัทเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทมีความสามารถในการระดมทุนทั้งจากเงินกู้ธนาคารและการออกจําหน่ายหุ้นกู้ รวมกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีสัดส่วนเงินกู้ต่อหุ้นกู้ที่อัตรา 80:20 จุดเด่นที่ทําให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากทั้งธนาคาร และนักลงทุนในหุ้นกู้ คือระเบียบวินัยทางการเงิน และการบริหารความสัมพันธ์ที่หลากหลายกับผู้ให้เงินทุน ในด้านเงินกู้ บริษัทมีเครือข่ายสถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนมากกว่า 10 แห่ง เช่น ช่วงวิกฤตโควิด-19 แม้บริษัทจะเริ่มจัดจําหน่ายหุ้นกู้ได้เพียง 4 ปีแต่ก็สามารถระดมเงินทุนจากตลาดได้แล้วกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นผลจากความไว้วางใจที่ผู้ลงทุนมีต่อบริษัท

โพสที่เกี่ยวข้อง