แนวโน้มผู้บริโภคยุคใหม่เริ่มหันมา “เช่าใช้” กันมากขึ้นทั้งที่อยู่อาศัยหรือรถยนต์ไปจนถึงสินค้ากึ่งคงทนหลากหลายประเภท ขณะที่บริการ Ride-sharing ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
SCB EIC ได้จัดทำแบบสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคภายใต้หัวข้อ “สำรวจใจคนไทยยุคใหม่ เลือกเช่าหรือเลือกซื้อ” พบว่า พฤติกรรมการเช่าใช้ของผู้บริโภคชาวไทยมีลักษณะเด่น 3 ประการ ได้แก่
-กลุ่มสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ได้รับความนิยมสูงในการเช่า โดยได้รับแรงหนุนหลักจากความต้องการใช้งานเพียงชั่วคราว เช่น ชุดราตรี อุปกรณ์เครื่องเสียง หรือกล้องถ่ายรูป
-คนไทยส่วนใหญ่ยังมีค่านิยมต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยและยานยนต์ เพราะมองว่าสินทรัพย์มูลค่าสูงเหล่านี้สะท้อนความมั่นคงและความสำเร็จในชีวิต
-แนวคิด “การเช่าเพื่อทดแทนการครอบครอง” มีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคอายุต่ำกว่า 45 ปี ที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและประสิทธิภาพการใช้งาน มากกว่าความเป็นเจ้าของหรือการครอบครองสินทรัพย์เกินความจำเป็น
ทั้งนี้ผลสำรวจของ SCB EIC พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังคงต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพราะมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง ฐานะทางสังคม และเป็นความภาคภูมิใจของชีวิต ขณะที่มาตรการสินเชื่อและโครงการบ้านหลังแรกมีส่วนช่วยให้ผู้มีรายได้ปานกลางสามารถก้าวสู่การเป็นเจ้าของบ้านกันได้ง่ายขึ้น แต่วิถีชีวิตยุคใหม่ได้ผลักดันให้การเช่าที่อยู่อาศัยได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 45 ปี ที่ต้องการลดภาระหนี้สินระยะยาวและควบคุมค่าใช้จ่ายให้คาดการณ์ได้ อีกทั้งยังได้รับแรงดึงดูดจากข้อได้เปรียบของตลาดเช่า เช่น การเข้าอยู่อาศัยได้ทันที ไม่ต้องดูแลซ่อมบำรุงเอง และรูปแบบสัญญาที่ยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความจำเป็น
ขณะที่พฤติกรรมการครอบครองพาหนะกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน จากเดิมที่รถส่วนตัวถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสัญจร มาสู่ยุคที่ผู้บริโภคเริ่มเปิดรับบริการ Ride-sharing และการเช่ารถระยะยาวกันมากขึ้น แม้ว่าการมีพาหนะส่วนตัวยังคงเป็นค่านิยมสำคัญของคนไทยจำนวนมาก แต่รูปแบบการตัดสินใจซื้อและการใช้งานกลับมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป โดบเจ้าของยานยนต์ในปัจจุบันมักยืดอายุการใช้งานพาหนะส่วนตัวให้นานขึ้น
ขณะที่ผู้บริโภคที่กำลังมองหารถคันแรกก็เริ่มให้ความสนใจกับรถยนต์ไฟฟ้า (xEV) โดยผลการวิเคราะห์ SCB EIC Consumer survey ยังชี้ว่า การเป็นเจ้าของยานยนต์เริ่มไม่ได้เป็นเงื่อนไขจำเป็นเหมือนในอดีต โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ระบบขนส่งสาธารณะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริการ Ride-sharing ก็ได้กลายมาเป็นทางเลือกหลักสำหรับหลายคน เพราะในบางกรณีสามารถตอบโจทย์ความสะดวกสบายได้ดีกว่าการใช้งานพาหนะส่วนตัว
ส่วนบริการเช่ารถระยะยาวหรือ Car subscription ก็เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมไลฟ์สไตล์ยืดหยุ่นและต้องการการทดลองเทคโนโลยีขับขี่ใหม่ๆ
กระแส “การเช่าใช้แทนการซื้อ”มีบทบาทต่อวิถีชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น
ทั้งนี้กระแสการเช่าหรือการใช้บริการทดแทนการซื้อกำลังก้าวขึ้นมามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ทำให้ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องเร่งปรับตัวอย่างรอบด้านเพื่อรองรับโครงสร้างความต้องการที่มีแนวโน้มเปลี่ยนไป โดยในภาคอสังหาฯ ผู้พัฒนาโครงการควรหันมาพัฒนารูปแบบ Hybrid Housing ที่ผสมผสานพื้นที่ขายกับพื้นที่เช่า เช่น Serviced apartment หรือ Co-living ที่ผู้เช่าสามารถเหมาจ่ายค่าสาธารณูปโภคและค่าส่วนกลางแบบรายเดือน
นอกจากนี้การออกแบบโครงการสำหรับกลุ่มเฉพาะทาง เช่น Senior living apartment จะช่วยสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกันภาคสถาบันการเงินก็ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเช่า เช่น Buy-to-Let Financing สำหรับผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อนำไปปล่อยเช่า รวมถึงพัฒนาระบบประเมินเครดิตผู้เช่าเพื่อช่วยลดความเสี่ยงแก่ผู้ให้เช่าที่อยู่อาศัย
เจาะลึกเหตุผลของการเลือก‘ซื้อ’หรือ‘เช่า’ที่อยู่อาศัย
อย่างไรก็ตามคนไทยส่วนใหญ่ยังคงต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ขณะที่ตัวเลือกการเช่าตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ไม่ต้องการมีภาระหนี้ระยะยาวและให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระและยืดหยุ่น “การเป็นเจ้าของ” หรือ “เลือกเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาว” เป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสถานะทางการเงิน รูปแบบการดำเนินชีวิต รวมถึงปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น ราคาซื้อ-ขาย เงื่อนไขสินเชื่อ นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ตลอดจนความพร้อมของโมเดลธุรกิจด้านการเช่าระยะยาว เมื่อปัจจัยเหล่านี้ผสานเข้ากับค่านิยมและทัศนคติ จึงนำไปสู่ความแตกต่างในการตัดสินใจซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีสัดส่วนของครัวเรือนที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในระดับสูง แม้ว่าราคาซื้อ-ขายจะสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนหลายเท่าตัว เช่น กว่า 80% ของครัวเรือนในจีน ไทย และเวียดนาม เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของตนเอง แม้ว่าราคาที่อยู่อาศัยจะสูงกว่ารายได้เฉลี่ยครัวเรือนถึงกว่า 20 เท่า
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความต้องการและสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้นั้น นอกเหนือจากเรื่องค่านิยมแล้ว ยังเป็นผลจากมาตรการด้านสินเชื่อต่าง ๆ เช่น โครงการสนับสนุนบ้านหลังแรก การผ่อนชำระระยะยาว และเงื่อนไขการกู้ที่ยืดหยุ่น ซึ่งช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางสามารถเข้าถึงสินเชื่อและมีความสามารถในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น
สำหรับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว แม้ว่าราคาที่อยู่อาศัยจะสูงกว่ารายได้ครัวเรือนไม่มากนัก แต่ความนิยมในการครอบครองที่อยู่อาศัยกลับต่ำกว่า ส่วนหนึ่งเพราะความพร้อมของตลาดเช่าระยะยาว บริการและโมเดลธุรกิจการเช่าที่หลากหลาย รวมถึงนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและกรอบกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิผู้ให้เช่าและผู้เช่าอย่างเป็นธรรม
ส่วนผู้บริโภคคนไทยส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับการเป็น “เจ้าของที่อยู่อาศัย” มากกว่าการเช่า โดยแนวคิดดังกล่าวเกิดจากความพร้อมและแรงผลักดันจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และอารมณ์ ซึ่งสะท้อนค่านิยมและความเชื่อของสังคมไทยในหลายมิติ รายได้และช่วงอายุ มีอิทธิพลต่อความต้องการและแรงจูงใจในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย อัตราการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ทั้งที่ซื้อขาดและอยู่ระหว่างผ่อนชำระ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้และช่วงอายุของผู้บริโภค โดยกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน มีสัดส่วนการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยเฉลี่ยเพียง 50% แต่เมื่อคนกลุ่มนี้มีอายุมากกว่า 60 ปี สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 75% เช่นเดียวกับ
กลุ่มผู้มีรายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน มีสัดส่วนการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยประมาณ 80% และเพิ่มขึ้นเกินกว่า 90% ในกลุ่มที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
สะท้อนให้เห็นว่าแรงจูงใจที่ทำให้คนไทยสนใจซื้อบ้านมาจากรายได้ที่มั่นคง เพราะมีบทบาทสำคัญต่อทั้งความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อและการผ่อนชำระ อีกทั้งยังมีมุมมองว่า การมีบ้านเมื่ออายุเพิ่มขึ้นถือเป็นวิถีการสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต

ดังนั้นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางที่มีอายุมากขึ้นมักมองหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่เข้าถึงได้ หรือกลับไปตั้งถิ่นฐานหรือสร้างบ้านในภูมิลำเนาเดิมที่สามารถเป็นเจ้าของได้โดยไม่ต้องแบกรับภาระทางการเงินสูง นอกจากนี้กลุ่มวัยกลางคนบางส่วนยังได้รับอสังหาฯ เป็นมรดกจากครอบครัว ส่งผลให้เมื่ออายุเพิ่มขึ้น อัตราการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้กลุ่มผู้บริโภค Gen Y ที่มีอายุ 27 – 44 ปี จะให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางรายได้มากที่สุด รองลงมาคือ อิสระในการตกแต่งที่อยู่อาศัยให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ อีกทั้งยังเป็นเพียงช่วงวัยเดียวที่ให้ความสำคัญกับการเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างการซื้อและการเช่าระยะยาว สำหรับ Gen X อายุ 45 – 60 ปี และ Baby boomer อายุมากกว่า 60 ปี ส่วนใหญ่จะตัดสินใจซื้อบ้านเมื่อสถานะการเงินมีความพร้อม อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการซื้อเพื่อเป็นมรดกแก่ลูกหลานในรุ่นถัดไป
ทั้งนี้ในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า พฤติกรรมการเช่าใช้คาดว่าจะได้รับการยอมรับมากขึ้นและมีแนวโน้มขยายสู่กลุ่มทรัพย์สินมูลค่าสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุต่ำกว่า 45 ปี ซึ่งมีความตื่นตัวกับแนวคิด “การเช่าใช้ทดแทนการครอบครอง” มากที่สุด ปัจจุบันการเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่าง “การเช่า” และ “ซื้อขาด” ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภคยุคใหม่ สะท้อนจากกลุ่มตัวอย่างกว่า 90%เริ่มพิจารณาทั้งสองทางเลือกก่อนตัดสินใจเลือกรูปแบบการบริโภคที่เหมาะสม
โดยกลุ่มที่มีความตื่นตัวสูงสุดคือ ผู้บริโภค Gen Y และ Gen Z ให้ความสนใจกับการเช่าใช้สินค้าหลากหลายประเภท ทั้งสินค้ากึ่งคงทน
ที่พักอาศัย และยานพาหนะ อีกทั้งยังมองเห็นโอกาสทางการลงทุนจากการนำทรัพย์สินที่ตนครอบครองมาปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม สะท้อนแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ยึดติดกับการเป็นเจ้าของสินทรัพย์
ในทางกลับกันกลุ่มผู้บริโภคอายุมากกว่า 60 ปี เปิดรับพฤติกรรมการเช่าใช้ในวงจำกัด เนื่องจากให้ความสำคัญกับความมั่นคงจากการครอบครอง และมองว่าการมีบ้าน รถ หรือทรัพย์สินมูลค่าสูงเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงทั้งทางจิตใจและสถานะทางสังคม
ดังนั้นค่านิยมของคนไทยในการมีบ้านจึงอยู่ภายใต้กรอบความคิดในเรื่องความมั่นคงด้านรายได้และชีวิต ทั้งสำหรับตนเองและลูกหลาน อีกทั้งยังถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของชีวิตและการให้ความรู้สึกมีอิสระเมื่อได้ตกแต่งให้เข้ากับไลฟ์สไตล์







