“ผมไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง แต่ผมเห็นว่าสิ่งที่น่าห่วงคือ การที่คนที่มีประวัติด่างพร้อยหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามานั่งเป็นกรรมการของดุสิตธานี ถือเป็นสิ่งอันตรายต่ออนาคตของบริษัทและผู้ถือหุ้นทั้งหมด ดังนั้นหากผมถูกถอดถอนจริง ผมพร้อมยอมรับถ้าทุกอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม แต่ถ้าเป็นการถอดถอนด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ผมจะต่อสู้ตามกฎหมายและทุกช่องทาง เพื่อปกป้องบริษัทและผู้ถือหุ้นทุกคน”

ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทชนัตถ์และลูก จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ได้เสนอวาระให้ถอดถอนตนออกจากตำแหน่งกรรมการ ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของดุสิตธานีที่จะถึงในเดือนหน้านี้ หลังจากตนได้รับการมอบหมายจากคุณแม่ คือ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ให้เป็นเสาหลักในการดูแลกิจการของบริษัทชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. ดุสิตธานี และธุรกิจอื่นของครอบครัวเป็นเวลากว่า 30 ปี ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาอำนาจกรรมการของบริษัทภายใต้การดูแลของท่านผู้หญิงฯ จะต้องมีการลงนามร่วมกับตน หรือท่านผู้หญิงฯ ลงนามร่วมกับคุณสินี เธียรประสิทธิ์ แต่เมื่อท่านผู้หญิงฯ เสียชีวิตไปแล้ว ตนคือผู้ลงนามหลัก ที่ต้องลงนามร่วมกับคุณสินี หรือลงนามร่วมกับน้องคนเล็ก
ต่อมาน้องสาวทั้งสองคนได้ร่วมกันใช้เสียงโหวตเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการเดิมที่คุณแม่กำหนดไว้ เพื่อแก้ไขอำนาจกรรมการ ทั้งที่ตนมีอำนาจหลักในการลงนามร่วมกับน้องคนใดคนหนึ่ง เปลี่ยนให้เป็นกรรมการ2ใน3ลงนามร่วมกัน และหลังจากนั้น น้องๆ ก็ร่วมกันปลดตนออกจากการเป็นกรรมการของบริษัทชนัตถ์และลูก จำกัด รวมถึงการปลดออกจากการเป็นกรรมการทุกบริษัทในกองมรดก ทั้งที่ตนเองก็เป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม จึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง
ทั้งนี้ในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด พี่น้องทั้งสามคนได้ตกลงร่วมกันที่จะแบ่งกองมรดกออกเป็น 3 ส่วน คือ บริษัทชนัตถ์และลูก จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี) บริษัทปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และบริษัทธนจิรัง จำกัด (เป็นบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์) โดยทุกฝ่ายตกลงให้ตนได้หุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในขณะที่น้องแต่ละคนได้หุ้นในอีกสองบริษัทดังกล่าว และให้นำทรัพย์สินอื่นๆ มาชดเชยกันให้เป็นธรรมและเท่าเทียมกันสำหรับทุกฝ่าย แต่ในภายหลังน้องทั้งสองคนเปลี่ยนใจไม่ยอมรับข้อตกลงนั้น
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะมองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว และยังหวังว่าการฟ้องร้องต่างๆ ของผมที่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายจะนำไปสู่การไกล่เกลี่ย และประนีประนอม แต่วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาพูด เพราะการกระทำแบบเดียวกันได้ขยายมาถึงบมจ. ดุสิตธานี ก่อนหน้านี้พวกเขาใช้อำนาจผ่านบริษัทชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงิน ทั้งที่งบการเงินไม่ได้มีปัญหา และล่าสุดยังพยายามถอดถอนผมออกจากตำแหน่งกรรมการในดุสิตธานี เพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับคนนอกครอบครัวเข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อบมจ. ดุสิตธานี แต่ยังเป็นการเปิดทางให้คนนอกครอบครัวเข้ามายึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมาอีกด้วย”
เปลี่ยนกรรมการที่มีอำนาจจากคนในครอบครัวไปสู่คนนอก
ชนินทร์กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการและความพยายาม Take Over ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะจะมีการเสนอชื่อกรรมการเข้ามาใหม่ถึง 10 คน ทำให้จำนวนกรรมการเพิ่มขึ้นจากเดิม 12 เป็น 18 คน และเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ซึ่งสามารถทำให้อำนาจการควบคุมกิจการเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารด้วย
โดยมีการเสนอกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มเซ็นทรัลที่ไม่เคยบริหารและไม่รู้จักดุสิตธานีอย่างแท้จริงมาก่อน ซึ่ง 2 ใน 3 สามารถลงนามแทนบริษัทได้ ถือเป็นการเปิดทางให้คนนอกเข้ามาควบคุมกิจการที่ครอบครัวสร้างมาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมการเดิมลงนามเลยก็สามารถผูกพันดุสิตธานีได้ รวมทั้งที่ผ่านมายังมีความพยายามผลักดันให้ตนแบ่งหุ้นบริษัทชนัตถ์และลูก ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. ดุสิตธานีออกเป็นสามส่วน เพื่อขายต่อให้คนนอก ทั้งๆที่ข้อบังคับของบริษัทชนัตถ์และลูก ระบุไว้ว่าไม่ให้ขายหุ้นของชนัตถ์และลูกให้แก่คนนอกครอบครัว
ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัลได้พยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบมจ.ดุสิตธานีหลายครั้ง เช่น การเข้ามาซื้อหุ้นดุสิตธานี 22.5% โดยไม่แจ้งให้เราทราบ ทั้งที่เป็นพันธมิตรและคู่สัญญาในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งตนได้ไปเจรจาเพื่อขอให้กลุ่มเซ็นทรัลขายหุ้นออกมาแล้วครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้กลุ่มเซ็นทรัลส่งคนมานั่งเป็นกรรมการ เพราะธุรกิจของทั้งสองกลุ่มมีความทับซ้อนกัน เช่น ธุรกิจสายโรงแรมก็มีการแข่งขันกันโดยตรง และยังมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอาหารเหมือนกัน
และต่อมาทางกลุ่มเซ็นทรัลและบริษัท ชนัตถ์และลูก ภายใต้การบริหารของน้องสาวทั้งสองคน ได้มีการหารือกันหลายครั้ง เพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะเข้ามาควบคุมอำนาจบริหารกิจการดุสิตธานี ซึ่งตนเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส และยังอาจมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากความทับซ้อนของธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันโครงการดุสิต เรสซิเดนเซสสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 92%
“การร่วมงานกับกลุ่มเซ็นทรัลที่ผ่านมาไม่มีปัญหาอะไร เพราะกลุ่มเซ็นทรัลเป็นพันธมิตรร่วมกันในโครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งในดุสิตธานีด้วย และที่ผ่านมาผมได้เคยเจรจาขอร้องไม่ให้กลุ่มเซ็นทรัลเข้ามานั่งในคณะกรรมการ เพราะธุรกิจของเรามีการทับซ้อนกัน แต่วันนี้มีรายชื่อกรรมการใหม่ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเซ็นทรัล ทำให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ากังวลต่ออนาคตของบริษัท”

ส่วนผลการดำเนินงานของดุสิตธานีที่ขาดทุนต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากการบริหารที่ผิดพลาด แต่เป็นการตัดสินใจลงทุนเพื่ออนาคต และบริษัทก็ได้ดำเนินการแก้ไขโดยไม่เพิ่มทุนแม้แต่บาทเดียว โดยส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่มีมูลค่าสูงถึง 46,000 ล้านบาท และการลงทุนในโครงการต่างๆ ก่อนที่จะเกิดโควิด เช่น โรงแรมดุสิต สวีท ราชดำริกรุงเทพฯ,โรงแรมอาศัย กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์,โรงแรมอาศัย กรุงเทพฯ สาทร ซึ่งขณะนี้โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์คใกล้จะสร้างเสร็จ พร้อมจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัท ช่วยให้บริษัทกลับมากำไรอีกครั้ง
ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) มีมติอนุมัติการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 26 กันยายน 2568 เวลา 14.00 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) เพียงรูปแบบเดียว และกำหนด Record Date ในวันที่ 10 กันยายน 2568 โดยมีวาระสำคัญ อาทิ
- รับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568
- พิจารณาอนุมัติงบการเงินปีสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2567
- พิจารณาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคณะกรรมการ รวมถึงการถอดถอนและแต่งตั้งกรรมการใหม่ โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ
- พิจารณาเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ และมอบอำนาจในการดำเนินการจดทะเบียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง





