TerraBKK เผยเทรนด์อสังหาฯ สร้างสุขภาวะที่ดี ผ่านงานวิจัย บนเวทีสัมมนาด้านอสังหาริมทรัพย์ประจำปี TerraHint Brand Series 2025 ภายใต้ธีม The Wellness Blueprint #อยู่ดีมีสูตร ระดมทีมผู้เชี่ยวชาญเผยกลยุทธ์อสังหาฯ สร้างสุขภาวะที่ดีที่นำมาใช้ได้จริง พร้อมฉายภาพ Consumer Insight สุดเข้มข้น พบคนไทยนิยาม Wellness คือ “คุณภาพชีวิตที่ดี” สอดคล้องปัจจัยเลือกซื้อบ้าน ชี้ 4 กลุ่มมนุษย์เวลเนสที่จะกลายเป็นกำลังซื้อของตลาด
สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด หรือ TERRA BKK เปิดเผยว่า ผลวิจัย “Consumer Insight : เข้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ ผ่านมุมมอง Wellness-Centric เพื่อสร้างแบรนด์ที่ แข็งแกร่ง” ในงาน TerraHint Brand Series 2025 The Wellness Blueprint #อยู่ดีมีสูตร ซึ่งเก็บข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 2,000 คน ส่วนใหญ่ 75% อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยประเด็นที่น่าสนใจพบว่าคนไทย ให้คำนิยามกับคำว่า Wellness คือ “คุณภาพชีวิตที่ดี สภาพแวดล้อมที่ดี และความปลอดภัย” สอดคล้องกับปัจจัยในการมองหาบ้านที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม มักมาเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ เสมอ แต่อย่างไรก็ตามแต่ละช่วงวัยยังมีการให้ความหมายของคำว่า “Wellness” เปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ชีวิตและความรับผิดชอบในแต่ละช่วงอายุอย่างชัดเจน
4 มนุษย์เวลเนส แบ่งตามไลฟ์สไตล์ & แนวทางการดูแลตนเอง
จากการศึกษาสามารถแบ่งพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มใหม่ออกเป็น 4 กลุ่มตามแนวทางการดูแลตนเองและไลฟ์สไตล์ สะท้อนถึงความต้องการและความคาดหวังต่อที่อยู่อาศัยและบริการในปัจจุบัน ได้แก่

1. THE BALANCED SOCIALIZER กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาความสมดุลระหว่างสุขภาพและชีวิตสังคม แม้จะดูแลสุขภาพพื้นฐาน แต่ไม่ละเลยการสังสรรค์และสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ชื่นชอบการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ให้ความสำคัญกับประสบการณ์และการพบปะผู้คน ที่อยู่อาศัยที่มองหาจึงต้องมีบริการที่อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดเวลา รวมถึงบริการสุขภาพและความงาม

2. THE ASPIRING SELF-IMPROVER เป็นกลุ่มที่มีแนวทางการดูแลสุขภาพเป็นของตัวเอง เลือกทำเฉพาะกิจกรรมที่ตรงกับความสนใจจริงๆ ให้ความสำคัญกับการนอนหลับและการพักผ่อนกับธรรมชาติ แต่ไม่ต้องการกิจกรรมที่ต้องพบปะสังคม ที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มนี้ต้องการบริการที่มากกว่า service ทั่วไป เช่น บริการ Room Service หรือบริการ Conceirge และบริการที่เกี่ยวกับความปลอดภัย

3. THE CASUAL EXPLORER เป็นกลุ่มครอบครัวที่สนใจสุขภาพ แต่มีอุปสรรคยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้เต็มที่ ด้วยภาระหน้าที่การงานและครอบครัว จึงเน้นกิจกรรมที่ทำได้ง่ายๆ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง สวดมนต์ ทำให้ต้องการบริการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย เช่น บริการรถรับ-ส่งไปโรงพยาบาล

4. THE HOLISTIC WELLNESS กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ทั้งกาย ใจ และสังคม มีวินัยในการนอนหลับ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ชื่นชอบการใกล้ชิดธรรมชาติ และให้ความสำคัญกับการเยียวยาจิตใจผ่านกิจกรรมกลางแจ้ง ที่อยู่อาศัยในอุดมคติจึงต้องมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ พร้อมบริการดูแลสุขภาพครบวงจร และระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
เสิร์ฟประสบการณ์การต้อนรับเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง

จากการตีความนิยามและไลฟ์สไตล์ด้านเวลเนสที่แตกต่างกัน ผู้บริโภคจึงต้องการประสบการณ์การเยี่ยมชมโครงการไม่เหมือนกัน โดยผู้พัฒนาอสังหาฯ และนักการตลาดสามารถสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้าแต่ละกลุ่มรู้สึกว่าได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ตั้งแต่ก้าวแรกของการเยี่ยมชมโครงการไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ แบ่งเป็น
- บ้านเดี่ยว – บริการระดับพรีเมียม สำหรับกลุ่มผู้ซื้อบ้านเดี่ยว ต้องการบริการเน้น “Premium & Respectful Service” โดยลูกค้ามองว่าบริการที่เหนือระดับควรจะให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกขั้นตอน มีความเชื่อว่า “Service quality = home quality” คุณภาพการบริการสะท้อนถึงคุณภาพของบ้าน
- ทาวน์โฮม – ความจริงใจและโปร่งใส กลุ่มผู้สนใจทาวน์โฮมต้องการ ต้องการให้เซลล์บอกข้อมูลที่สำคัญอย่างตรงไปตรงมา บอกจุดดีจุดด้อยของโครงการ “Sincerity over luxury” ความจริงใจมีค่ามากกว่าความหรูหรา
- คอนโดฯ – ความเป็นมืออาชีพและความสะดวกสบาย เน้น “Professionalism & Convenience” ต้องการทีมขายที่มีความพร้อมให้บริการทันทีเมื่อลูกค้ามาชมโครงการ แนะนำโปรโมชั่น – การผ่อนชำระ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “Professional, no pressure” มีความเป็นมืออาชีพ ไม่เร่งการขาย ไม่กดดันให้จอง
สื่อสารเร็ว & ชัด คือ แบรนด์ได้รับความเชื่อใจ

ด้านแนวโน้มการซื้อบ้าน จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 2,000 คน พบว่า 41% วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ภายใน 3 ปี ซึ่งปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 ที่มีสัดส่วน 36% และพบว่ามีแนวโน้มสนใจทาวน์โฮมเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน 24% เป็น 30% และสนใจบ้านเดี่ยวลดลงอย่างมากจาก 86% ในปีก่อน เหลือ 66%
สำหรับการเปลี่ยนแปลงประเภทที่อยู่อาศัยหลังเหตุแผ่นดินไหว พบว่าจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว 48% ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงประเภทที่อยู่อาศัย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเมื่อช่วงกลางปีที่มีเพียง 12% เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับ “แบรนด์” โดยส่วนใหญ่ยังมองว่าจะเปลี่ยนไปเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านมาตรฐานความปลอดภัยสูงขึ้น
หลังเกิดแผ่นดินไหว ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคมองหา “โครงสร้างและคุณภาพการก่อสร้าง” เป็นปัจจัยอันดับ 1 ความต้องการขยับไปสู่บ้านแนวราบและความปลอดภัยมากขึ้น ต้องการแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ และแบรนด์ที่สื่อสารเร็วและชัดได้รับความเชื่อใจ โดย Gen X ซึ่งเป็นกลุ่มซื้อคอนโดจะค้นคว้าเรื่องวัสดุ ผู้รับเหมา และเทคโนโลยีกันแผ่นดินไหวมากขึ้น ในขณะที่ Baby Boomers เลี่ยงอาคารสูง ต้องการวัสดุและการรับรองที่มั่นใจได้
แพลตฟอร์มเดียวกัน แต่พฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ต่างกัน
นอกจากนี้เมื่อมีการวิเคราะห์พฤติกรรมการเสพคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียของคนไทยทั้ง 4 เจเนอเรชั่น พบว่าแม้จะอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน แต่สิ่งที่แต่ละวัยติดตามและให้ความสนใจนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่ Baby Boomers – Gen X เน้นหนัก “สุขภาพ” เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งอายุมากขึ้น ความใส่ใจในเรื่องสุขภาพยิ่งเพิ่มสูงขึ้น Gen Y เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์เรื่องท่องเที่ยวสูงที่สุด 51% รองลงมาคืออาหารและเครื่องดื่ม 49% ซึ่งสูงกว่าทุกเจเนอเรชั่น Gen Z ให้ความสนใจกับคอนเทนต์เรื่องสัตว์เลี้ยง 23% สูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ ตามมาด้วยการศึกษา 24% และเกม 15% ซึ่งทั้งสามหัวข้อนี้ Gen Z ครองอันดับหนึ่งทุกรายการ
คนไทยมีความสุข สู้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

ด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า คนไทยมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยในปี 2025 (ค่าดัชนี CCI: 66 จุด) ลดลงจากปี 2024 (ค่าดัชนี CCI: 72 จุด) และคนส่วนใหญ่ก็ยังขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า มองว่าในช่วงนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดี ในการซื้อสินค้ามูลค่าสูง อย่างอสังหาฯ หรือรถยนต์ สวนทางกับภาพรวมดัชนีชี้วัดสุขภาวะทางใจของคนไทย Wellbeing Index มีคะแนนร้อยละ 76.9 (ตามเกณฑ์ตัวชี้วัดจากองค์การอนามัยโลก WHO) ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงกลางปี 2025 สะท้อนทิศทางการฟื้นตัวหลังเหตุแผ่นดินไหว
แต่อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นสำคัญว่า “ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ” ยังคงเป็นตัวแปรที่กระทบโดยตรงต่อทั้งความเชื่อมั่นและสุขภาพจิตของคนไทย โดยพบว่ากลุ่มที่มีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ มักมีระดับความสุขทางใจลดลงตามไปด้วย ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางทางจิตใจของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจผันผวนในปัจจุบัน

คฑา บุญทรงไพศาล Head of Business and Corporate Development Banyan Group เผยว่า ปัจจุบันลูกค้ามีความต้องการที่อยู่อาศัยหลากหลายมากขึ้น การสร้างเวลเนสจึงมีความ Customized มากขึ้น โดยเริ่มจากความสุขทางใจ ซึ่งแต่ละคนมีความสุขแตกต่างกัน เช่น กลุ่ม Middle East ต้องการพื้นที่ไพรเวท ความเอ็กซ์คลูซีฟ กลุ่มเอเชียต้องการห้องเล็ก ล็อบบี้ส่วนตัว ซึ่งไม่มีสูตรตายตัว แต่สูตรแรกต้องฟังลูกค้า ใครคือลูกค้า แล้วเลือกให้ตอบโจทย์
คุณพีรพงษ์ พีระโชติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ธนบุรี เวลบีอิ้ง จำกัด กล่าวว่า วงการอสังหาฯ ผ่านเทรนด์และเมกะเทรนด์มาหลากหลายแล้ว ทั้ง Sustainability จนมาถึง Wellness ที่สุดคือ ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี สุขภาวะที่ดี อาทิ Longevity Lifestyle แต่ต่อไปอีก 3-6 ปี จะเกิด Personalized มากขึ้น แม้ว่าต้นทุนและสุขภาพแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ผู้คนจะมองหาการ Personalize และต้องการผลลัพธ์เหมือนกัน เพื่อตอบโจทย์การมีสุขภาพที่ดี
นพ.ฐิฏิ สมุทรรัตน์ รองเลขาธิการสมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย แชร์เทรนด์สุขภาพยุคใหม่ว่า ปัจจุบันกำลังก้าวข้ามจากยุค Personalization สู่ยุค Hyperpersonalization ยุคที่ข้อมูลพันธุกรรมและ Al ทำให้เราทำนายความเสี่ยงล่วงหน้าและป้องกันโรคได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
สืบพงษ์ เกียรติวิศาลชัย รองกรรมการผู้จัดการ SIAM SINDHORN เผยสูตรความสำเร็จจากประสบการณ์ว่า การพัฒนาอสังหาฯ เซกเมนต์บน สิ่งที่มีมูลค่าที่สุด คือ เวลา, สุขภาพ และความสุข สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐาน “เมื่อเราบอกลูกค้าว่า ถ้าอยู่ที่นี่จะช่วยยืดอายุได้อีก 10 ปี ลูกค้าที่ซื้อจะบอกว่าราคา 50 ล้านบาทคือถูก”






