แสนสิริปลื้มการตลาดแบบ Speed to Market ดันกำไรสุทธิพุ่ง 521% รายได้โต 5% จากปีก่อน โดยเฉพาะรายได้จากการขายบ้านแนวราบโตต่อเนื่อง ล่าสุดเข้าไปถือหุ้นใหญ่ XSpring ลุยธุรกิจการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลต่อยอดธุรกิจสังหาฯ
นางสาววรางคณา อัครสถาพร ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาด ทำให้บริษัทต้องเร่งการขายโครงการที่อยู่อาศัยให้เร็วกว่าแผนเดิม เพื่อแข่งขันกับสภาพตลาด (Speed to Market) ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจำนวน 384 ล้านบาท เติบโตถึง 521% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวมอยู่ที่ 6,827 ล้านบาทเติบโต 5% จากปีก่อน
โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จำนวน 6,044 ล้านบาท เติบโต 12% ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการการโอนโครงการบ้านเดี่ยว 3,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% นอกจากนี้ยังมีรายได้จากบ้านและทาวน์โฮมแบรนด์อณาสิริจำนวน 621 ล้านบาท เติบโตมากถึง 274% จากปีก่อน
ล่าสุดบริษัทได้ต่อยอดจากธุรกิจเดิมด้วยการเข้าไปถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งในสัดส่วน 15% ด้วยเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในบริษัทเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ครบวงจรที่เชื่อมระหว่างการเงินปัจจุบันและการเงินดิจิทัลหรือ Digital Financial Service รายแรกของประเทศ รองรับเทรนด์ธุรกิจการเงินดิจิทัลขยายตัวในอัตราสูง
โดยเอ็กซ์สปริงมีใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจการเงินดิจิทัล สามารถให้บริการซื้อขายโทเคนดิจิทัลเต็มรูปแบบผ่านบริษัทเอสอี ดิจิทัลในฐานะ ICO Portal ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว
ส่วนแผนการดำเนินงานในไตรมาส 2 นี้ บริษัทวางแผนเตรียมโอนคอนโดฯโคครงการ XT ห้วยขวาง มูลค่า 7,000 ล้านบาท ที่มียอดขายแล้วกว่า 60% ล่าสุดมีกลุ่มลูกค้าต่างชาติตอบรับการโอนล่วงหน้าแล้วถึง 60% โดยจะเริ่มโอนตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนนี้ ยังเตรียมเปิดขายคอนโดฯแนวคิดใหม่ “The Muve” 4 ทำเลย่านเกษตร,รัชดาภิเษก,รามคำแหง และบางนา ในระดับราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ทั้งกลุ่มนักศึกษาและ First Jobber
สำหรับยอดขายรอรับรู้รายได้ทั้งหมดของบริษัท ณ วันที่ 4 เมษายน 2564 มีประมาณ 24,613 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดรับรู้รายได้ปีนี้ประมาณ 16,229 ล้านบาท ปี 2565 ประมาณ 5,185 ล้านบาท ปี 2566 ประมาณ 3,009 ล้านบาท และในปี 2567 อีกจำนวน 191 ล้านบาท
ส่วนของยอดขายรอรับรู้รายได้ของบริษัทร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และกลุ่มโตคิว คอร์ปอเรชั่น มีประมาณ 5,396 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดรับรู้รายได้ปี 2564 ประมาณ 2,244 ล้านบาท ปี 2565 ประมาณ 2,858 ล้านบาท และในปี 2566 จำนวน 295 ลานบาท