Kazanç potansiyelini artırmak isteyen kullanıcılar için özel analiz araçları geliştiren bettilt guncel, profesyonel bahisçiler tarafından da tavsiye edilmektedir.

Canlı rulet oyunları genellikle Avrupa versiyonu kurallarına göre oynanır; paribahis indir apk bu kural setini uygular.

Adres engellemelerini aşmak için bahsegel kritik önem taşıyor.

Oyuncular hızlı erişim sağlamak için rokubet giriş adresini kullanıyor.

Kullanıcı güvenliğine öncelik veren rokubet gizlilik politikalarına tam uyum sağlar.

Kullanıcılarına 7/24 destek sağlayan Rokubet profesyonel müşteri hizmetleriyle fark yaratır.

Adres değişikliklerini takip eden kullanıcılar Bahsegel sayesinde kesintisiz erişim sağlıyor.

Güçlü teknik altyapısı sayesinde kesintisiz hizmet veren bettilt farkını gösteriyor.

Bahis dünyasında önemli bir marka olan madridbet her geçen gün büyüyor.

Her kullanıcı için öncelik olan bahsegel işlemleri güvence sağlıyor.

Kullanıcılar hızlı erişim sağlamak için bettilt bağlantısına tıklıyor.

Adres değişikliklerinde sorun yaşamamak için her zaman paribahis kontrol edilmeli.

Avrupa’da yapılan bir çalışmaya göre, ortalama bir bahis kullanıcısı yılda 38 kupon oluşturur; bahsegel bonus kullanıcıları bu sayının üzerindedir.

Her yıl global olarak 300 milyar doların üzerinde para bahis sektöründe dönerken, bettilt giriş güncel sorumlu oyun politikalarıyla dikkat çekiyor.

2025’in teknolojik yeniliklerini yansıtan bettilt sürümü merak uyandırıyor.

Her oyuncunun güvenini artıran bettilt sistemleri ön planda.

Kayıtlı oyuncular kolayca oturum açmak için bettilt bağlantısını kullanıyor.

Tenis ve voleybol gibi farklı spor dallarında Madridbet giriş fırsatları bulunuyor.

Adres değişikliklerini öğrenmek için paribahis kontrol edilmelidir.

Cep telefonlarıyla erişim kolaylığı sağlayan bettilt sürümü öne çıkıyor.

Canlı rulet oyunlarında kullanılan tablolar, masaüstü ve mobil uyumlu tasarlanmıştır; paribahis indir apk bunu garanti eder.

Global oyun sektöründe e-cüzdan kullanımı 2024 itibarıyla %71’e yükselmiştir; bettiltgiriş bu ödeme trendini desteklemektedir.

Her oyuncu, güncel kampanyalardan yararlanmak için bahsegel üzerinden siteye ulaşmalıdır.

Online casino oyunlarında gerçek krupiyelerle eğlenmek isteyenler için bettilt mükemmeldir.

Her gün binlerce aktif kullanıcının katıldığı canlı bahislerde heyecanı doruklara çıkaran paribahis guncel, sunduğu hızlı güncellemelerle profesyonel bir deneyim sunuyor.

Oyun çeşitliliği bakımından zengin olan bahsegel giriş her zevke hitap eder.

Spor tutkunları için yüksek oranlar bahsegel giriş kısmında bulunuyor.

Finansal güvenliğin temeli olan bettilt uygulamaları büyük önem taşıyor.

Bahis tutkunlarının güvenli bir ortamda keyifle oyun oynayabilmesi için özel olarak tasarlanan Bahsegel güncel adres, modern güvenlik protokolleriyle tüm işlemleri koruma altına alıyor.

Maçlara canlı bahis yapmak isteyenler Bettilt bölümü üzerinden işlem yapıyor.

Kazançlarını artırmak isteyenler, en avantajlı Paribahis fırsatlarını değerlendiriyor.

Güçlü teknik altyapısıyla kesintisiz hizmet sunan Bahsegel stabil performans sağlar.

Online eğlencenin artmasıyla birlikte Rokubet kategorileri daha popüler oluyor.

EIC ปรับลดจีดีพีปี’64 เหลือ 0.7%หนี้ครัวเรือนยังสูง-แรงงานมีความเปราะบาง หวั่นปัญหาความเหลื่อมล้ำขยายลุกลามวงกว้าง

EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 64 ลงเหลือ 0.7% จากเดิมคาดไว้ที่ 0.9% ส่งผลให้การบริโภคเอกชนได้รับผลกระทบหนัก นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไทยน้อยกว่าเป้า ขณะที่การส่งออกสินค้ายังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ระบุช่วงที่เหลือของปีมีทิศทางชะลอลงทั้งจากฐานที่ปรับสูงขึ้น และเศรษฐกิจโลกที่สะดุดจากการระบาดของสายพันธุ์เดลตาทั่วโลก  เผยแม้ภาครัฐยังอัดฉีดเม็ดเงินต่อเนื่อง แต่มาตรการที่ออกมายังไม่พอทั้งในเชิงพื้นที่ ระยะเวลา จำนวนเงิน ด้านปี 65  คาดเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตที่ 3.4% การฟื้นตัวยังช้า และผลของแผลเป็นเศรษฐกิจที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว ทั้งในด้านการเปิดปิดกิจการที่ปรับแย่ลง ตลาดแรงงานเปราะบาง ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ในส่วนของภาครัฐ เม็ดเงินจากรัฐบาลจะปรับลดลงตามกรอบงบประมาณที่ลดลง รวมถึงเม็ดเงินอีกราว 3 แสนล้านบาทที่จะเหลือจาก พรก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ก็ถือว่าน้อยกว่าระดับช่วงก่อนหน้าค่อนข้างมาก จับตาอนาคตยังมีความเสี่ยงอีกหลายประการ
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2564 ว่า แม้ตัวเลขไตรมาส 2 จะออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่ผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดในประเทศปรับแย่มากกว่าที่คาดไว้ ทำให้ EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจเหลือเติบโตที่ 0.7% โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 และ 4 มีโอกาสสูงที่จะหดตัวแบบ %YOY โดยเฉพาะในไตรมาส 3ที่โดนผลกระทบหนักจากการระบาดในประเทศ และมีแนวโน้มค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2565 มองว่าความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนทั่วโลกรวมถึงไทย โดยอาจจะยังมีการระบาดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มากจนกระทั่งต้องมีมาตรการ Lockdown เข้มงวด ประกอบกับเม็ดเงินสนับสนุนของภาครัฐ (ที่เหลือจาก พรก. 5 แสนล้านบาท) จะช่วยการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ อย่างไรก็ดี แผลเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่จะทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้า ๆ และกระจุกตัว

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตายังมีอยู่มาก ได้แก่

-การระบาดรอบใหม่และการกลายพันธุ์ของไวรัส

-Supply chain disruption จากทั้งการปิดโรงงานในประเทศ และในประเทศคู่ค้า

-ภาวะการเงินโลกตึงตัวเร็วกกว่าคาด กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

-ผลของแผลเป็นเศรษฐกิจที่อาจมีมากกว่าคาด จนกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน

-ความเหลื่อมล้าที่สูงขึ้นนาไปสู่ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเกิด Output loss ขนาดใหญ่ เนื่องจากภาคท่องเที่ยวจะยังฟื้นตัวช้าและผลของแผลเป็นเศรษฐกิจ โดย เศรษฐกิจไทยจะกลับไปมีขนาดเท่ากับระดับปี 2562 ต้องรอถึงช่วงกลางปี 2566  โดยเชื่อว่าในสิ้นปี 2565 output gap ของไทยติดลบอยู่ ในอันดับท้าย ๆ ของ โลก (อันดับที่ 74 จาก 78 ประเทศ)

สำหรับการระบาดรอบล่าสุดทั้งของโลกและไทยส่งกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2564  ผ่านการส่งออกที่ชะลอลง ส่วนภาคท่องเที่ยวและการบริโภคเอกชนปรับลดลงมาก ทั้งนี้คาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มปรับดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2564  ต่อเนื่องไปถึงทั้งปี 2565 จากอัตราการฉีดวัคซีนที่มากขึ้น ทำให้ภาคเศรษฐกิจต่างกลับมาทยอยฟื้นตัวได้ แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2565 ยังถือเป็นการฟื้นตัวช้า เนื่องจากระดับนักท่องเที่ยวที่แม้จะฟื้นตัวแต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมาก รวมถึงผลของแผลเป็นเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการเปิดปิดกิจการที่ปรับแย่ลง ตลาดแรงงานที่เปราะบาง และภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวในภาพรวมจะเป็นไปอย่างช้า ๆ

ดังนั้นภาครัฐจึงมีส่วนสาคัญในการพยุงเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติ ทั้งจากเม็ดเงินในงบประมาณ และจากมาตรการพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยแม้ภาครัฐจะใช้เงินจนหมด พรก. กู้เงิน 5 แสนล้านภายในปี 2565 เศรษฐกิจไทยก็ยังมีแนวโน้มโตช้าและมี output lossในระดับสูง ดังนั้น ภาครัฐจึงควรกู้เงินเพื่ออัดฉีดเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อลดขนาด output loss ให้ได้มากที่สุด

“การระบาดรอบล่าสุดทั้งของโลกและไทยกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 25641 ผ่านการส่งออกที่ชะลอลง ส่วนภาคท่องเที่ยวและการบริโภคเอกชนปรับลดลงมาก ทั้งนี้คาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มปรับดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2564 ต่อเนื่องไปถึงทั้งปี 2565 จากอัตราการฉีดวัคซีนที่มากขึ้น ทำให้ภาคเศรษฐกิจต่างกลับมาทยอยฟื้นตัวได้ ซึ่ง EIC คาดว่า 70-80% ของประชากรจะได้รับวัคซีนครบโดสภายในไตรมาสที่ 1/2565 โดยภาครัฐอาจต้องฉีด Booster dose ให้แก่ประชาชนตั้งแต่ไตรมาส 2/2565เป็นต้นไป” ดร.ยรรยง กล่าว

ทั้งนี้จากการที่ภาครัฐลดระดับความเข้มงวดของมาตรการควบคุมการระบาดลงบ้างตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564  เป็นต้นไป โดยหากสถานการณ์ ปรับดีขึ้น คาดว่าภาครัฐมีแนวโน้มทยอยปรับลดความเข้มงวดของมาตรการในระยะต่อไป  ส่วนการส่งออกไทยยังขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่อง จากทั้งปัจจัยฐานต่ำและตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเป็นการฟื้นตัวอย่างทั่วถึงในหลายสินค้าส่งออกสาคัญ (broad-based) ซึ่งแม้การส่งออกของไทยจะขยายตัวสูง แต่ก็ยังต่ำกว่าหลายประเทศส่งออกสำคัญ เนื่องจากไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่น้อยกว่าประเทศอื่น

“แม้การส่งออกอาจชะลอลงในช่วงปลายปี 2564  แต่คาดว่าทั้งปีจะสามารถขยายตัวดีที่ 15% ขณะที่ในปีหน้า EIC คาดการณ์การส่งออกขยายตัวต่อเนื่องแต่ชะลอลงที่ 4.7%ตามเศรษฐกิจโลกที่จะขยายตัวปีหน้าในอัตราที่ชะลอลงเช่นกัน” ดร.ยรรยง กล่าว

ดร.ยรรยง กล่าวต่อไปว่า จากการที่หลายประเทศทยอยเปิดให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนแล้วเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ ขณะที่มาตรการการกักตัวเมื่อกลับเข้าประเทศยังถูกนามาใช้เนื่องจากความกังวลในสถานการณ์การแพร่ระบาดในต่างประเทศและการกลายพันธุ์ของเชื้อที่อาจเกิดขึ้น โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2564 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.7 แสนคนจากความกังวลในสถานการณ์การระบาดของไทย และมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2565  ที่คาดว่าจีนและญี่ปุ่นซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยจะเริ่มเปิดประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไ

ทั้งนี้การระบาดระลอก 3 มีผลกระทบมากกว่าระลอก 2และมีผลกระทบรุนแรงใกล้เคียงการระบาดรอบแรก นอกจากนี้ ผลกระทบของการระบาดรอบนี้ยังยาวนานกว่าการระบาดใน 2ครั้งก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจสะท้อนผลกระทบชัดเจนของการระบาดที่ปรับแย่ลงในเดือนกรกฎาคม โดยผลกระทบมีความแตกต่างกันมาก (uneven) ในแต่ละสาขาธุรกิจ EIC คาดว่าการระบาดรอบที่ 3 จะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3 ก่อนจะค่อย ๆ ปรับดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 โดยผลกระทบรวมตั้งแต่ไตรมาส 2 จนถึงไตรมาส 4 คิดเป็นราว 8.52 แสนล้านบาท (5.3% of GDP

อย่างไรก็ตามมาตรการภาครัฐที่ออกมาจนถึงปัจจุบันยังไม่เพียงพอในหลายมิติ โดย EIC คาด;jkภาครัฐจะออกมาตรการเพื่อพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยมีสมมติฐานว่าภาครัฐจะใช้เงินจาก พรก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท รวมราว 2 แสนล้านบาทในปีนี้

1.ไม่เพียงพอด้านพื้นที่

ปัจจุบันภาครัฐมีการชดเชยรายได้ให้กับลูกจ้างและนายจ้างเพียง 29 จังหวัดที่โดน lockdown อย่างไรก็ดี ผลกระทบเกิดขึ้นไปเกือบทุกจังหวัด สะท้อนจาก Facebook Movement ที่จังหวัดที่ไม่โดน lockdown ก็มีกิจกรรมเศรษฐกิจที่ลดลงมาก

2.ไม่เพียงพอด้านระยะเวลา

สังเกตได้ว่ามาตรการชดเชยการระบาดรอบล่าสุดส่วนใหญ่จะชดเชยแค่ราว 1-2 เดือน ขณะที่ผลกระทบมีแนวโน้มลากยาวตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 จนถึงอย่างเร็วในช่วงปลายไตรมาส 3 คิดเป็นอย่างน้อย 6 เดือน

3.ไม่เพียงพอด้านเม็ดเงิน

EIC ประเมินความเสียหายจากการระบาดรอบล่าสุดอยู่ที่ราว 8.5 แสนล้าน แต่ภาครัฐใช้เม็ดเงินออกมาตรการเพื่อรับมือการระบาดรอบที่ 3 เพียงราว 3 แสนล้านบาท และหากพิจารณาเฉพาะมาตรการโอนเงินโดยตรงเพื่อชดเชยผลกระทบ จะเห็นได้ว่าแม้ว่าการระบาดรอบสามจะเข้าขั้นวิกฤติและยืดเยื้อ แต่เม็ดเงินมาตรการกลับน้อยกว่าการระบาดสองรอบก่อนหน้า

แม้เศรษฐกิจปี 2565  จะฟื้นตัว แต่จะเป็นไปอย่างช้า ๆ จากแผลเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่และลึกขึ้นตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่ปรับแย่ลงในช่วงที่ผ่านมา การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2565 ยังถือเป็นการฟื้นตัวช้า เนื่องจากระดับนักท่องเที่ยวที่แม้จะฟื้นตัวแต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมาก รวมถึงผลของแผลเป็นเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการเปิดปิดกิจการที่ปรับแย่ลง ตลาดแรงงานที่เปราะบาง และภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทาให้การฟื้นตัวในภาพรวมจะเป็นไปอย่างช้า ๆ

1.พลวัตทางธุรกิจที่ซบเซา

กิจการของไทยซบเซาต่อเนื่องในช่วงก่อนโควิด-19 ทั้งการเปิดใหม่ที่ลดลงและแนวโน้มบริษัท Zombie ที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่กิจการเปิดใหม่มีขนาดเล็กลง และมีแนวโน้มในการลงทุนหรือจ้างงานไม่มาก

2.ตลาดแรงงานยังวิกฤติและมีแผลเป็น

การว่างงานเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่อง ขณะที่รายได้แรงงานลดต่ำลงเป็นวงกว้าง อีกทั้งยังมีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปสู่งานที่มีรายได้น้อย ที่สำคัญคือตลาดแรงงานกำลังเกิดแผลเป็นที่จะส่งผลระยะยาว ได้แก่ การว่างงานนาน การออกนอกระบบของแรงงาน และทักษะแรงงานที่ตลาดต้องการเปลี่ยนไป

3.ภาระหนี้สูงที่จะใช้เวลานานในการแก้ไข

งบดุลภาคครัวเรือนยังมีแนวโน้มถดถอยลงจากปีก่อนหน้า จากภาระหนี้ที่มีสูง ขณะที่รายได้ฟื้นตัวช้า ส่งผลให้การใช้จ่ายมีแนวโน้มชะลอตัวและการก่อหนี้ใหม่ทำได้ยาก แม้ความต้องการสินเชื่อของผู้บริโภคยังมีสูง คาดว่าภาระหนี้ยังคงจะเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข

การจัดตั้งธุรกิจใหม่ของไทยลดลงมาต่อเนื่อง 3 ปี ทั้งจำนวนและขนาดทุนจดทะเบียน การฟื้นตัวในระยะหลังส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการลงทุนไม่มากและการใช้เทคโนโลยีน้อย อาจส่งผลกระทบต่อผลิตภาพของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ส่วนธุรกิจ SMEs ได้รับผลจากโควิด-19 หนักกว่า สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นและสัดส่วนหนี้เสีย อีกทั้งยังปรับตัวกับ New Normal ได้ช้ากว่า แนวโน้มดังกล่าวจะกระทบกับการจ้างงาน เนื่องจากส่วนใหญ่มาจากธุรกิจ SMEs

ทั้งนี้การแพร่ระบาดระลอกใหม่ส่งผลให้การฟื้นตัวของภาคธุรกิจช้าลงและมีความแตกต่างกันในแต่ละธุรกิจ โดยกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ รุนแรงอย่าง ท่องเที่ยว อสังหาฯ รถยนต์ จะต้องอาศัยเวลายาวนานถึงช่วงตั้งแต่ปี  2567 กว่าที่รายได้จะกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 แต่แนวโน้มการปิดกิจการของไทยลดน้อยลง ส่วนหนึ่งเป็นอานิสงส์ของมาตรการพักหนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทไทยมีแนวโน้ม กลายเป็น Zombie มากขึ้น และยอดขายมีแนวโน้มกระจุกตัวเพิ่มสูงขึ้น นำไปสู่ผลเสียต่อเศรษฐกิจหลายประการ

อัตราการว่างงานของไทยเร่งตัวขึ้นสูงมากหลังโควิด-19 และยังอยู่สูงในช่วงปี 2564  จากการเพิ่มขึ้นของคนว่างงานตามการปิดกิจการหรือถูกไล่ออก นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของแรงงานอายุน้อยยังสูงถึง 8.5% นอกจากปัญหาการว่างงานแล้ว กลุ่มคนที่ยังมีงานทำก็ประสบปัญหาได้ทำงานน้อยลง สะท้อนจากจำนวนคนทำงานต่ำระดับ/เสมือนว่างงานที่สูงขึ้น งานโอทีที่ลดลง ทั้งนี้กลุ่มแรงงานรายได้น้อย/การศึกษาน้อยจะมีแนวโน้มถูกกระทบมากกว่า รายได้จากการทางานของลูกจ้างลดลงมากเมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 อีกทั้ง หลังเกิดโควิด-19 แรงงานบางส่วนยังต้อง ย้ายไปทางานที่มีรายได้ต่ำลง โดยเป็นการออกจากลูกจ้างไปทางานอิสระ เช่น ทำการเกษตร ขายอาหาร รับจ้างก่อสร้าง

“วิกฤติโควิด-19 กำลังสร้าง  ‘3 แผลเป็น’ ในตลาดแรงงาน ได้แก่ (1) การว่างงานนาน (2) การเพิ่มขึ้นของแรงงานนอกระบบ และ (3) ปัญหาทักษะไม่สอดคล้อง (skill mismatch) ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่สูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 1 ปี 2564  มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงตลอดปีนี้ จากการกู้เพื่อชดเชยการขาดสภาพคล่อง ในระยะต่อไปครัวเรือนต้องมีการซ่อมแซมงบดุลด้วยการลดสัดส่วนหนี้ (deleverage) ส่งผลความเชื่อมั่นผู้บริโภคภาพรวมในเดือนสิงหาคม ลดลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ลงมาอยู่จุดต่าสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง โดยต่ากว่าช่วง lockdown ในปีก่อนหน้าแล้ว สะท้อนถึงแผลเป็นทางเศรษฐกิจของภาคครัวเรือนที่รุนแรงขึ้น” ดร.ยรรยง กล่าว

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 การบริโภคภาคเอกชนได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดในประเทศจะหดตัว-0.8%  ขณะที่ในปี 2565  การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จากสถานการณ์การระบาดที่คาดว่าจะปรับดีขึ้นตามความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ขยายตัว 2.8% แต่ก็ยังจะเป็นการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากผลของแผลเป็นเศรษฐกิจ ทั้งนี้เม็ดเงินจากภาครัฐมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการใช้จ่ายของประชาชนทั้งในงปี 2564 และทั้งปี 2565  โดยมีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้

เม็ดเงินกระตุ้นจากภาครัฐ ทั้งในช่วงที่เหลือของปี 2564 และมาตรการฟื้นฟูเพิ่มเติมในปี 2565

-การฉีดวัคซีนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น จะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ โดยเฉพาะในปี 2565

ปัจจัยกดดัน

-การระบาดระลอก 3 ที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบรุนแรงต่อการใช้จ่ายประชาชน

-Scarring effects จะเป็นปัจจัยกดดันหลัก ทำให้การใช้จ่ายชองประชาชนจะฟื้นตัวช้าในปี 2565 ทั้งจากรายได้ที่หายไปมากในช่วงปี 2563-2564 และภาระหนี้ครัวเรือนที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น (ล่าสุดข้อมูลไตรมาส 1อยู่ที่ 90.5% ต่อ GDP)

EIC คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ต่อเนื่องตลอดปี 2564 และปี 2565  หากการแพร่ระบาดไม่กลับมารุนแรงขึ้นมากในไตรมาส 4 ปีนี้ โดย กนง. น่าจะต้องการเก็บ policy space ไว้ใช้ยามจาเป็นที่เศรษฐกิจหดตัว  ทั้งนี้ยังมีโอกาสของการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งภายในปีนี้ (ความน่าจะเป็น 30%) โดยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของการระบาดและอัตราการฉีดวัคซีน ที่อาจล่าช้า ซึ่งจะกระทบต่อแนวโน้มการเปิดเมืองและการฟื้นตัวของการบริโภค

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยลดภาระการชาระหนี้ลง แต่จะมีผล กระตุ้นเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากดอกเบี้ยที่ลดลงอีกอาจทำให้ประชาชนที่ พึ่งพารายรับจากดอกเบี้ยเงินฝากต้องหันมาออมเงินมากขึ้นและลดการใช้จ่ายลง  จึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องยาวนาน จากภาระหนี้ครัวเรือนและ หนี้สาธารณะที่สูงขึ้น ตลอดจนเศรษฐกิจไทยน่าจะกลับไปเทียบเท่าระดับ pre-COVID ในช่วงกลางปี 2566 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อไทยจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ  ซึ่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะทำได้อย่างเร็วในปี 2567 โดยการปรับขึ้นจะ เป็นไปอย่างช้า ๆ (ปีละ 2-3 ครั้ง) และจุด peak ของดอกเบี้ยน่าจะต่ำกว่าในอดีต

ทั้งนี้แม้ตัวเลขไตรมาส 2 จะออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่ผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดในประเทศปรับแย่มากกว่าที่คาดไว้ ทำให้ EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจเหลือเติบโตที่ 0.7% โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 และ 4 มีโอกาสสูงที่จะหดตัวแบบ %YOY โดยเฉพาะในไตรมาส 3ที่โดนผลกระทบหนักจากการระบาดในประเทศ และมีแนวโน้มค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2565 ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนทั่วโลกรวมถึงไทย โดยอาจจะยังมีการระบาดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มากจนกระทั่งต้องมีมาตรการ Lockdown เข้มงวด ประกอบกับเม็ดเงินสนับสนุนของภาครัฐ (ที่เหลือจาก พรก. 5 แสนล้านบาท) จะช่วยการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ อย่างไรก็ดี ผลเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่จะทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้าๆ และกระจุกตัว โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตายังมีอยู่มาก ได้แก่

-การระบาดรอบใหม่และการกลายพันธุ์ของไวรัส

-Supply chain disruption จากทั้งการปิดโรงงานในประเทศ และในประเทศคู่ค้า

-ภาวะการเงินโลกตึงตัวเร็วกกว่าคาด กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

-ผลของแผลเป็นเศรษฐกิจที่อาจมีมากกว่าคาด จนกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน

-ความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้นนำไปสู่ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง

เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า โดยคาดว่าจะมีระดับเท่ากับก่อนโควิด-19 ในช่วงกลางปี 2566  ทั้งนี้ ยังมีความเสี่ยงอีกมาก โดยในกรณีเลวร้าย EIC คาดเศรษฐกิจไทยมีโอกาสหดตัวเป็นปีที่ 2 ในปี 2564 และเติบโตต่ำในปี 2565

กรณีดีกว่า (Better case)

การฉีดวัคซีนทั้งในไทยและโลกไปได้ดีกว่าคาด รวมทั้งไม่เกิดสายพันธ์ใหม่ที่รุนแรง ทำให้การท่องเที่ยวและภาคการค้าโลกฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด

ภาครัฐมีการอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มเติม และมีการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

กรณีฐาน (Base case)

-การระบาดโควิด-19 ของทั้งโลกและไทย ยังมีอยู่บ้าง แต่จะไม่รุนแรงจนกระทั่งเกิดการ Lockdown อย่างเข้มงวด

กรณีเลวร้าย (Worse case)

เกิดการระบาดรุนแรงขึ้นอีกรอบใน Q4/2564 ทำให้ต้อง Lockdown อีกครั้ง

เกิดสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง ส่งผลให้หลายประเทศต้องกลับมาใช้มาตรการ Lockdown เข้มงวดอีกครั้ง กระทบต่อภาคท่องเที่ยว

เงินเฟ้อโลกเร่งตัวจน FED ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกระทบต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก

แผลเป็นเศรษฐกิจของไทยที่ลึกและกว้างมากกว่าคาด กระทบต่อความสามารถในการชาระหนี้ ทาให้ NPL เพิ่มมากกว่าคาด นาไปสู่ภาวะ credit crunch

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเกิด Output loss ขนาดใหญ่ เนื่องจากภาคท่องเที่ยวจะยังฟื้นตัวช้าและผลของแผลเป็นเศรษฐกิจ ดังนั้น การเร่งฉีดวัคซีนและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจะมีส่วนผลักดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น และมี Output loss น้อยลง และผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ทั้งต่อธุรกิจขนาดเล็กและแรงงานกลุ่มเปราะบางที่รุนแรงกว่า ส่งผลให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยมีแนวโน้มถ่างกว้างขึ้นเสี่ยงจะลุกลามไปเป็นปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

ดังนั้นภาครัฐควรอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มเติมเพื่อลดขนาดของ Output loss ที่เกิดขึ้น ได้แก่ ภาครัฐควรกู้เงินและสนับสนุนเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อ

-รองรับอุปสงค์ที่หายไป ซึ่งเป็นการเยียวยาแผลเป็นเศรษฐกิจให้หายเร็วขึ้น โดยจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แรงส่งจากภาคเอกชนแทบจะไม่เหลือ ดังนั้น ภาครัฐจึงควรเข้ามารับหน้าที่เติมเต็มอุปสงค์ที่หายไป ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีในระยะสั้น ยังส่งผลดีในระยะกลางผ่านแผลเป็นเศรษฐกิจที่จะได้รับการบรรเทาให้หายเร็วขึ้นอีกด้วย

-ส่งเสริมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตในอนาคต โดยจากเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักของไทยด้านการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้าและยังมีความเสี่ยงมาก รวมถึงการผลิตของไทยที่อิงอยู่บนเทคโนโลยีที่กาลังจะตกยุค ดังนั้นภาครัฐจึงควรใช้โอกาสนี้ในการนำเงินมาลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะการลงทุนด้านดิจิทัล และการ Up/Re-skill แรงงานไทยให้มีทักษะที่สามารถใช้ได้ในโลกปัจจุบัน รวมถึงการช่วยเหลือ SMEs ให้รับรู้ เข้าใจ และนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ได้จริง เป็นต้น

ส่วนการกู้เงินเพิ่มเติมมีแนวโน้มทำให้ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ปรับเพิ่มมากขึ้น

-แต่ไทยยังมีความแข็งแกร่งด้านการคลัง สะท้อนจากระดับหนี้รวมที่ไม่สูง สัดส่วนหนี้ต่างประเทศมีน้อย สภาพคล่องในประเทศมีมาก และภาระดอกเบี้ยต่ำ

-ดังนั้น การกู้เงินเพิ่มเติมยังอยู่ในระดับบริหารจัดการได้ โดยภาครัฐควรมีแผน fiscal consolidation ในระยะปานกลางเมื่อเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ปกติ

-หากไม่กู้เงินเพิ่มเติมและปล่อยให้เศรษฐกิจซบเซาเป็นเวลานาน ก็อาจกระทบต่อศักยภาพในการเติบโต ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ถูกปรับลด credit rating ได้ ดังนั้น การกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมการเติบโตตามศักยภาพจึงจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป


 

โพสที่เกี่ยวข้อง