ครม. อนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป กระตุ้นการลดภาระค่าใช้จ่าย

ครม. อนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในที่อยู่อาศัย

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ในบ้านอยู่อาศัย เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป โดยมาตรการนี้กำหนดให้ ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่เกิน 200,000 บาท (รวม VAT) โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ใช้สิทธิต้องเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 (บ้านอยู่อาศัย) และเป็นผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40 (1) – (8) ของประมวลรัษฎากร โดยไม่รวมคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญ ทั้งนี้ ชื่อผู้ขอใช้สิทธิต้องตรงกับชื่อเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้า และใช้สิทธิได้เพียง 1 คน ต่อ 1 มิเตอร์ ต่อ 1 ระบบ เท่านั้น ระบบที่ติดตั้งต้องเป็นแบบ On-grid ซึ่งเชื่อมต่อกับโครงข่ายของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย มีกำลังการผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ และดำเนินการติดตั้งพร้อมขออนุญาตอย่างถูกต้อง โดยต้องมี ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ (Tax invoice) และเอกสารยืนยันการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ นับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2027 โดยในปัจจุบันหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง กำลังอยู่ในช่วงร่างประกาศและยังไม่มีกำหนดการที่แน่ชัดว่าจะประกาศในช่วงเวลาใด

มาตรการลดหย่อนภาษีจะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมากขึ้น เนื่องจากจะช่วยลดภาระต้นทุนในการติดตั้ง ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือน โดยกระทรวงพลังงานประเมินว่าในปี 2023 ศักยภาพรวมอยู่ที่ราว 121,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ปริมาณการติดตั้งสะสมในปี 2022 ยังอยู่เพียง 1,893 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 1.6% ของศักยภาพทั้งหมด สะท้อนว่าการติดตั้งยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ซึ่งจากผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคจำนวน 2,257 รายในช่วงต้นปี 2025 ของ SCB EIC พบว่า 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามสนใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปแต่ยังไม่ตัดสินใจ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนในการติดตั้งที่อยู่ในระดับสูง โดยคาดว่ามาตรการลดหย่อนภาษีที่ระดับ 200,000 บาท จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เนื่องจากจะช่วยลดภาระภาษีได้ราว 6,100 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับฐานภาษีของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ มาตรการลดหย่อนภาษียังเป็น “สัญญาณเชิงบวก” จากภาครัฐว่ารัฐบาลจริงจังกับการสนับสนุนพลังงานสะอาดจากภาคประชาชน

ผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคของ SCB EIC เกี่ยวกับนโยบายภาครัฐที่จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ

  • การให้เงินอุดหนุนสำหรับการติดตั้งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐมากที่สุด (26%)
  • การให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง (20%)
  • การปลดล็อกให้สามารถขายไฟฟ้าได้เสรี (15%)
  • เสนอขายระบบโซลาร์รูฟท็อปที่ถูกกว่าตลาด (14%)
  • ภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในราคาเดียวกับราคาขายปลีกไฟฟ้า (13%)
  • การผ่อนปรนให้ติดตั้งได้โดยไม่ต้องขออนุญาต (12%)

สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคต้องการ “แพ็กเกจนโยบาย” ที่ครบถ้วน ทั้งในมิติของต้นทุน การเข้าถึงระบบ และสิทธิประโยชน์หลังการติดตั้ง

ผู้บริโภคยังเผชิญอุปสรรคที่สำคัญ 3 ด้านในการตัดสินใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป

1. การตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีความน่าเชื่อถือและราคาที่ผู้ให้บริการเสนอมีความเหมาะสม โดยจากผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคของ SCB EIC เกี่ยวกับอุปสรรคในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปพบว่า การตรวจสอบว่าผู้ให้บริการติดตั้งน่าเชื่อถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการเลือกผู้ให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป (44%) ตามมาด้วยการตรวจสอบว่าราคาที่ผู้ให้บริการติดตั้งเสนอมีความเหมาะสม (39%) ซึ่งผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังไม่สามารถตรวจสอบผู้ให้บริการในเรื่องคุณภาพและราคาที่เหมาะสมได้

2. การจัดหาเงินทุนสำหรับติดตั้ง โดยจากผลสำรวจ วิธีการจ่ายเงินของผู้ที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปแล้ว พบว่า 52% ของผู้ตอบแบบสำรวจจ่ายค่าติดตั้งด้วยเงินสด ในขณะที่ 17% จ่ายค่าติดตั้งโดยการใช้บัตรเครดิตแบบเต็มจำนวน ส่วน 14% ใช้บัตรเครดิตแบบผ่อนจ่าย ซึ่งเมื่อสอบถามผู้บริโภคว่าอะไรคืออุปสรรคสำคัญในการหาแหล่งเงินทุน พบว่า 53% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอบว่าอุปสรรคสำคัญมาจากการจัดหาเงินทุนเพื่อจ่ายค่าติดตั้ง สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้บริโภค

3. การขออนุญาตจากภาครัฐมีความยุ่งยากซับซ้อน โดยเมื่อสอบถามเกี่ยวกับอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการขออนุญาตติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป พบว่า 27% ของผู้ตอบแบบสำรวจในกลุ่มที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปไปแล้วตอบว่าไม่มีอุปสรรค เนื่องจากผู้ติดตั้งดำเนินการให้ทั้งหมด อย่างไรก็ดี 23% ของผู้ตอบแบบสำรวจตอบว่า เผชิญความยุ่งยากในการติดต่อหน่วยงานรัฐ ในขณะที่อุปสรรคอื่น ๆ มาจากการต้องศึกษาข้อมูลการขออนุญาต การดำเนินการในการออกเอกสารล่าช้า และการนัดหมายมาตรวจสอบบ้านที่มีความล่าช้า

3 แนวทางที่จะเป็นมาตรการเสริมสำหรับภาครัฐในการสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มเติมในระยะสั้น ดังนี้

1) เพิ่มกลไกการตรวจสอบและอนุมัติคุณภาพของอุปกรณ์ และผู้ให้บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคสมัครใจ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปสามารถเลือกผู้ให้บริการจากรายชื่อที่ภาครัฐตรวจสอบแล้วว่าผ่านมาตรฐานทั้งในด้านคุณภาพและราคาได้

2) แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชน อาทิ การให้เงินอุดหนุนการติดตั้งและสนับสนุนการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยอาศัยความร่วมมือของสถาบันการเงิน ซึ่งจะสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและช่วยลดอุปสรรคในการหาเงินทุน

3) ขจัดอุปสรรคในการขออนุญาตและการเตรียมเอกสารที่ยุ่งยาก อาทิ การสร้างระบบ One-stop services สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปสำหรับบ้านอยู่อาศัย ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการขออนุญาตติดตั้งของประชาชนและผู้ให้บริการติดตั้งได้ นระยะยาว ภาครัฐอาจพิจารณามาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติมที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค เช่น การปลดล็อกให้สามารถขายไฟฟ้าได้เสรี และการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในราคาขายปลีก เป็นต้น

มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในบ้านอยู่อาศัย ถือเป็นก้าวสำคัญของภาครัฐในการส่งเสริมพลังงานสะอาดจากภาคประชาชน ช่วยลดภาระต้นทุนเบื้องต้น และส่งสัญญาณเชิงนโยบายที่ชัดเจนว่ารัฐสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ซึ่งภาครัฐต้องเร่งออกประกาศราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของ SCB EIC สะท้อนว่า มาตรการภาษีเพียงอย่างเดียว ยังไม่สามารถเร่งการติดตั้งในวงกว้างได้ หากไม่แก้ไขอุปสรรคด้านความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และความยุ่งยากในการขออนุญาตติดตั้ง โดยการเสริมด้วยมาตรการเพิ่มเติมในระยะสั้น เช่น ระบบรับรองผู้ให้บริการ, สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ, เงินอุดหนุน และระบบอนุญาตแบบ one-stop service รวมถึงการมีบทบาทสนับสนุนของภาคเอกชน ทั้งในด้านข้อมูล ราคา และการเงิน จะเป็นกุญแจสำคัญในการเร่งให้โซลาร์รูฟท็อปกลายเป็นทางเลือกในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดหลักของไทย

โพสที่เกี่ยวข้อง